ตำบลสีวิเชียร อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี                       

สถานที่แห่งนี้  มีแหล่งธรรมชาติหลายอย่าง เช่น มีถ้ำเงื้อมผา ป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ และมีสายน้ำที่ไหลจากยอดเขาตลอดทั้งปี มีทั้งพลาญหินและหน้าผาที่สูงชันสามารถมองดูวิวทิวทัศน์รอบบริเวณได้ไกลสุดสายตา  มีสัตว์ป่าและนกป่าอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น อีเก้ง  หมูป่า หมาจิ้งจอก งูทุกชนิด นกทุกชนิด ซึ่งเหมาะสำหรับพระธุดงค์กัมมัฏฐานที่แสวงหาที่วิเวกประกอบความเพียร   ในการกำจัดกิเลสตัณหาออกจากจิตใจเป็นอย่างยิ่ง จึงมีพระธุดงค์กัมมัฏฐานมาพักบำเพ็ญเป็นประจำแทบทุกปี โดยเฉพาะหน้าแล้งแต่ไม่ค่อยอยู่จำพรรษา เพราะมีอุปสรรคหลายอย่าง เช่น อยู่ห่างไกลจากหมู่บ้าน 5-6 กิโลเมตร และ ไข้ป่าชุกชุมพร้อมทั้งสถานที่มีอาถรรพ์หลายอย่างจนทำให้พระบางรูปที่รักษาศีลไม่ดี  จิตใจไม่ค่อยมั่นคงต้องมีอันเป็นไปต่างๆนานา จนไม่สามารถที่จะทนอยู่ต่อไปได้ ซึ่งชาวบ้านในบริเวณนั้นได้เล่าขานกันต่อๆมาหลายชั่วคน  วันที่เราเข้ามาสถานที่นี้นั้น ตรงกับวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2536 ซึ่งตรงกับวันศุกร์ ขึ้น 9ค่ำ เดือน 6 ปี วอก เวลาประมาณ 9 โมงเช้า เราได้เที่ยวธุดงค์มาพักที่นี่เพียงรูปเดียวเท่านั้น และได้เดินสำรวจดูสถานที่ แหล่งน้ำทางเดินลงเขาเพื่อไปบิณฑบาตยังหมู่บ้าน พอดีพวกชาวบ้านที่อาศัยอยู่ชายเขาเพื่อทำไร่พบเข้าก็เลยเล่าให้ชาวบ้านด้วยกันฟัง ว่ามีพระธุดงค์มาพักที่ถ้ำ พอตอนบ่ายโยมคนหนึ่งก็เลยขึ้นมานิมนต์ให้อยู่ประจำที่นี่

เราก็เลยรับว่าจะอยู่ที่นี่ จนกว่าจะไปที่อื่นถ้าไปแล้วก็จะไม่ได้อยู่ คือรับเป็นกลางๆไม่ให้ผูกมัดตัวเอง แล้วโยมเขาก็เล่าเกี่ยวกับสถานที่ให้ฟัง พร้อมทั้งหนทางเข้าหมู่บ้านหมู่บ้านพอสมควรแล้วเขาก็กลับ พอตกตอนกลางคืนเวลาประมาณ 2 ทุ่ม หลังจากเดินจงกรมเสร็จกำลังจะกลับมานั่งสมาธิที่ถ้ำ  พอเดินทางมาถึงหน้าถ้ำ ก็เจองูสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ยาวประมาณเมตรกว่า ๆ เราก็เลยเดินเข้าไปนั่งสมาธิภายในถ้ำ งูตัวนั้นก็เลื้อยเข้าไปในถ้ำด้วย เราก็เลยไล่ให้ไปที่อื่น แต่งูก็ไม่ไป เราจึงคิดว่างูอาจจะเห็นแสงไฟก็เลยดับไฟไว้ครู่หนึ่ง พอเปิดไฟฉายดูอีกทีงูก็เลื้อยเข้ามาใกล้ประมาณวาเศษๆ เท่านั้น เราจึงคิดว่ามันอาจไม่ใช่งูธรรมดา อาจจะเป็นเจ้าที่ เขาเห็นเรามาอยู่เขาอาจห่วงสถานที่ไล่ยังไงก็ไม่ไปก็เลยเปลี่ยนใหม่ ถ้าวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผลก็จำเป็นต้องย้ายสถานที่แน่นอน เราจึงตั้งสติและกำหนดจิตใจให้มั่นคงแล้วแผ่เมตตาให้งูตัวนั้น แล้วก็บอกว่าเรามาอยู่ที่นี่ไม่ได้มาคิดเบียดเบียน หรือเอาสมบัติสิ่งของๆผู้ใด เรามาอยู่เพื่อบำเพ็ญสมณะธรรม ตามคำสอนพระศาสดาและครูบาอาจารย์ถ้าท่านไม่อยากให้เราอยู่เราก็จะไป แต่ถ้าหากท่านอยากให้เราอยู่ก็ขอให้ท่านไปหากินที่อื่นเถิด เพราะถ้าท่านหากินอยู่ที่นี่บางทีเราอาจมองไม่เห็นจะเหยียบท่านได้ เราสังเกตดูงูตัวนั้น เวลาที่พูดมันจะนิ่งฟังเหมือนกับว่ามันจะเข้าใจพอเราพูดเสร็จ มันก็เลื้อยกลับหลังไปในมุมมืดของป่าอย่างน่าอัศจรรย์ เราก็เลยอยู่บำเพ็ญในสถานที่นี้เรื่อยมา และประสบกับสิ่งแปลกประหลาดและอัศจรรย์หลายอย่าง แต่ไม่สามารถนำมาลงในที่นี้ให้สมบูรณ์ได้ จะขอเอามาลงเป็นบางเรื่องที่เห็นว่าสำคัญ สมัยที่มาอยู่สถานนี้  ใหม่ๆ  ช่วงปีแรกได้เกิดนิมิตเห็นพวกรุกขเทวดาจำนวนมาก มาหาที่ถ้ำมีทั้งผู้หญิงผู้ชายทั้งเด็กและผู้ใหญ่  ผู้ที่เป็นหัวหน้ารุกขเทวดานั้นเขาบอกว่าหมู่บ้านที่เขาอาศัยอยู่ชื่อบ้านโนนท่าหลี่ อยู่บริเวณบ่อน้ำทิพย์นี้เองเขาบอกว่าเขาสบายใจมีความสุขใจ ที่มีครูบาอาจารย์มาพักอยู่ที่นี้เขาจึงพาบริวารมากราบเยี่ยมนมัสการ เรามองดูหน้าตาและผิวพรรณของพวกเขา มีความผ่องใสสวยงามผิดจากคนธรรมดามากกิริยามารยาทก็เรียบร้อย เขาบอกว่าเขาเลื่อมใสข้อวัตรปฏิบัติของครูบาอาจารย์ อยากจะให้อยู่ที่นี้นานๆ เราได้สนทนาพูดคุยพร้อมทั้งแสดงวิธีกราบไหว้แบบเบญจางคประดิษฐ์ ของชาวพุทธให้ดูเพราะพวกเด็กๆบางคนยังทำไม่ถูกต้อง  จนได้เวลาพอสมควรเขาก็ลากลับ  ในช่วงฤดูแล้งแทบทุกปีเราจะไปเที่ยววิเวกตามสถานที่ต่างๆ เพื่อหาประสบการณ์ให้มีความหลากหลาย จะได้รู้สิ่งที่เป็นประโยชน์และมิใช่ประโยชน์เพื่อแยกแยะเทียบเคียงนำมาใช้ได้ถูกต้อง พอใกล้จะเข้าพรรษาก็กลับมาจำพรรษาที่นี่  พอปี 2539 ปีนั้นเป็นพรรษาที่ 10 อายุก็จะครบ 30 ปี พอดี

เคยมีครูอาจารย์เตือนว่าจะประสบกับอุปสรรคหลายอย่างถ้าเป็นไปได้ก็ให้จำพรรษาอยู่กับครูอาจารย์จะดีกว่า แต่เราคิดว่าเราก็เคยต่อสู้กับอุปสรรคมาหลายต่อหลายครั้งถ้าเราหนีก็เหมือนกับหนีอุปสรรคหรือกลัวต่อความตายคงจะเป็นที่ติเตียนของนักปราชญ์ทั้งหลาย ก็เลยตัดสินใจอยู่จำพรรษาที่นี้เพียงรูปเดียว พอจำพรรษาได้ไม่ถึงเดือนก็เกิดอาการป่วยขึ้น พออาการหนักมากโยมชาวไร่ก็พาไปหาหมอที่โรงพยาบาลน้ำยืน หมอเอาเลือดไปตรวจพบเชื้อไข้มาลาเรีย ก็เลยจัดยามาให้ฉันอาการดีขึ้นบ้าง แต่ก็ไม่หายขาด พอต่อมาอาการป่วยก็เกิดขึ้นมาอีกไปหาหมอก็ลำบาก เพราะอยู่ไกล ถนนหนทางก็ไม่ดี  ก็เลยฉันยาที่มีอยู่ทั้งยาสมุนไพรและยาบรรเทาปวด มีครั้งหนึ่งที่อาการป่วยหนักมาก จนเกิดความวิตกกังวลไปต่างๆนานา สารพัด บางทีก็คิดว่าเรานี่ช่างอาภัพบุญวาสนาป่วยอยู่คนเดียว ญาติพี่น้องก็ไม่มี ครูอาจารย์ก็ไม่มี คนรู้คนเห็นก็ไม่มีคิดปรุงไปหลายอย่าง จนในที่สุดก็กลับได้สติคืนมาจึงสอนตัวเองว่าเรานี้ก็บวชเป็นพระกัมมัฏฐานมานานพอสมควร ได้ศึกษาอยู่กับพระอาจารย์มาก็มากเที่ยวธุดงค์มาจนทั่วภาคอีสาน พอมาป่วยครั้งนี้กลับทำตัวเหมือนพระไม่เคยฝึกหัด จึงได้กำหนดจิตอธิษฐานขอมอบกายถวายชีวิตนี้แก่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ถึงตัวจะตายก็ยอม จะขอประพฤติปฏิบัติจนกว่าจะตาย ก็เลยตั้งสติพิจารณาร่างกายอาการ 32 ย้อนกลับไป กลับมา อย่างมีสติจนกระทั่งจิตเกิดอาการรวมสงบลงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พร้อมทั้งเกิดความรู้ในอาการ 32 นั้นอย่างชัดเจน เหมือนดวงไฟที่เปิดขึ้นในเวลากลางคืนย่อมจะมองเห็นว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งนี้ นี้คือสิ่งนี้ ฉันใด จิตดวงผู้รู้ที่เกิดขึ้นในขณะนั้นก็ย่อมเห็นว่านี้คือผม ขน เล็บ ฟัน หนัง  อย่างแจ่มแจ้งจนเห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงอาการแต่ละอย่างๆเท่านั้น  ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคลไม่ใช่ตัวตนเราเขา  เป็นแต่เพียงสมมุติบัญญัติ เพื่อสื่อสารให้คนอื่นเข้าใจเท่านั้น แท้ที่จริงคำว่า ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้นก็เป็นเพียงชื่อสมมุติ ที่คนตั้งขึ้นมาเรียกกันเท่านั้น  จิตก็ถอนอุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่นในกายออกเสียได้  จึงเกิดความรู้ชัดขึ้นมาว่า  กายก็อย่างหนึ่ง  จิตใจก็อย่างหนึ่ง  เวทนาคือความสุขความทุกข์ก็อย่างหนึ่งแยกกันออกคนละส่วน อย่างชัดเจนไม่ปะปนกันเหมือนแต่ก่อน  เมื่อรู้ได้ดังนี้  จิตใจก็คลายจากความยึดติดผูกพัน  ร่างกายส่วนต่าง ๆ ก็เกิดการผ่อนคลายไปด้วย เกิดธรรมะปิติแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ทุกขเวทนาที่เกิดจากโรคภัยต่าง ๆ ก็ดับ  เหลือแต่ความเบาสบายทั้งร่างกายและจิตใจจึงเกิดความรู้ขึ้นมาอีกว่า ร่างกายนี้มีกรรมเป็นผู้ตกแต่ง  ตั้งอยู่ได้ด้วยวิบากแห่งกรรม ถ้าเมื่อใดหมดสิ้นวิบากแห่งกรรมแล้วอยู่ที่ไหนๆก็จะต้องตาย  ไม่สามารถที่จะล่วงพ้นความตายไปได้ จิตใจจึงเกิดความเชื่อมั่นในการประพฤติปฏิบัติ และเชื่อมั่นในคุณของพระรัตนตรัย อย่างมั่นคง 

หลังจากคืนวันนั้นไปแล้วการปฏิบัติภาวนา  ก็เกิดความรู้ แจ่มแจ้งในธรรมะอันละเอียด มากยิ่งขึ้นตามลำดับ  คืนหนึ่งได้เกิดนิมิตเห็นตัวเองลอยขึ้นบนอากาศสูงมากได้ผ่านก้อนเมฆสีต่างๆ มีสีเทา สีเหลือง สีแดงเป็นต้น ไปจนถึงวิมานในสวรรค์ ซึ่งในที่นั้นมีอากาศที่เย็นสบายดีมาก ไม่หนาวไม่ร้อนจนเกินไป  และเห็นพระภิกษุอยู่ในที่นั้นกันหลายรูป และได้เห็นหลวงพ่อจันทร์  อินฺทวีโร ยืนอยู่ เราได้ตรงเข้าไปกราบเท้าท่าน ท่านเล่าว่าท่านอยู่ชั้นสูงกว่านี้เมื่อรู้ว่าเราขึ้นมาจึงลงมาหา ได้มีโอกาสสนทนากับท่านพอสมควรท่านก็จากไป (ขณะนั้นหลวงพ่อจันทร์ ได้มรณภาพแล้ว) เราจึงเกิดความคิดขึ้นมาว่าเรานี้ก็ได้มีโอกาสขึ้นมาเห็นสวรรค์กับเขาเหมือนกัน และอยากจะรู้ว่าความสูงระหว่างสวรรค์ชั้นนั้น กับโลกมนุษย์อยู่ห่างกันขนาดไหน จึงมองลงมาดูข้างล่างเห็นก้อนเมฆเห็นภูเขา และพื้นดินพอลางๆ เหมือนกับการขึ้นเครื่องบินสูงๆแล้วมองลงมาซึ่งแต่ก่อนไม่เคยขึ้นเครื่องบินพอ ต่อมาภายหลังหลายปี ได้มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศหลายครั้งจึงรู้ว่า การมองลงมาจากสวรรค์และมองลงมาจากเครื่องบินมีลักษณะคล้ายกันบางคืนก็เกิดนิมิตเห็นพวกรุกขเทวดา ที่เป็นพวกชาวเมืองลับแล มาพาไปยังที่อยู่ของพวกเขา ซึ่งเป็นบ้านเล็กๆอยู่ตามชายป่าชายเขา พอเห็นเราไป เขาแสดงความดีอกดีใจเป็นอย่างมาก บางบ้านก็แต่งสำรับกับข้าวมาถวาย เราจึงบอกว่านี้เป็นเวลากลางคืน พระฉันอาหารไม่ได้ เดี๋ยวจะเป็นอาบัติ  บางคนก็นิมนต์ให้อยู่กับเขานานๆ เราจึงบอกว่าอยู่ด้วยนานไม่ได้  มาเยี่ยมเยือนเฉยๆ เดี๋ยวก็กลับแล้ว  บางคืนก็นิมิตเห็นพวกพญานาค มานิมนต์ไปเที่ยวเมืองบาดาล ซึ่งอยู่บริเวณใต้ชายเขาของลูกนี้เอง และมี  ทางลงด้านทิศตะวันตก มีพญานาค 5-6 ตนเฝ้าปากทางลงอยู่ ซึ่งลักษณะคล้ายกันกับอุโมงค์ ตรงปากอุโมงค์เตี้ยๆ ต้องได้ลอดเข้าไป แต่พอเข้าไปสักระยะหนึ่ง ก็สูงพอเดินได้สะดวก ไปจนถึงถ้ำแต่ละถ้ำก็มีขนาดกว้างใหญ่ไม่เท่ากัน ตามผนังถ้ำก็เห็นเป็นโขดหินย้อยลงมา บางทีก็เห็นหัวงูขนาดใหญ่โผล่ออกมาหลายตัว บางทีก็เห็นเป็นคนยืนอยู่ แล้วแต่เจตนาของเขาจะให้เราดู  ซึ่งขณะนั้นเราก็ไม่รู้สึกกลัวแต่ประการใด  เขายังพาไปดู ถ้ำมหาสมบัติ  ซึ่งมีพระพุทธรูปทองคำและของมีค่าอยู่เป็นจำนวนมาก  เขาบอกว่าถ้าผู้ใดมีความคิดโลภอยากจะได้สิ่งของเหล่านี้ จะเข้ามาในถ้ำนี้ไม่ได้ เรายังเห็นพระหลวงตารูปหนึ่ง ท่านบอกเราว่า ผมอาศัยอยู่ในถ้ำนี้มานานแล้ว ตอนที่ท่านอาจารย์มาใหม่ๆผมก็เห็น พวกเขานิมนต์ให้ผมอยู่ที่นี้ เพื่อจะได้ช่วยบางสิ่งบางอย่างแก่พวกเขา ได้สนทนากับท่านพอสมควรก็ลาท่านกลับออกมา ตอนที่เขาพาออกมาเราได้พยายามสังเกต เส้นทางเข้าออกไว้เป็นอย่างดี  แต่พอออกมาจริงๆแล้วกลับลืมหมด จำได้แต่เพียงว่า อยู่ทางด้านทิศตะวันตก  เรามาพักอยู่ในสถานที่นี้ได้เห็นนิมิตอะไรหลายสิ่ง หลายอย่าง แต่ไม่อาจนำมาลงในที่นี้ได้หมด เพราะนิมิตบางอย่างไม่เกิดประโยชน์แก่ผู้ศึกษา นักปราชญ์ทั้งหลายจะติเตียนได้  และขอย้ำอีกว่า นิมิตเป็นเพียงเครื่องหมาย เพื่อเทียบเคียงให้รู้ ในบางสิ่งบางอย่างเท่านั้นไม่ใช่เรื่องจริง

พอจวนจะออกพรรษาคืนหนึ่งเกิดสุบินนิมิตขึ้นว่ามีพวกญาติโยมประมาณ 10 คนเดินขึ้นมาจากชายเขา (ที่เป็นบริเวณตั้งวัดในปัจจุบันนี้) พอมาถึงก็นั่งกราบลงเป็นที่เรียบร้อยแล้วถามข่าวกันพอสมควร โยมคนหนึ่งก็เลยหยิบสมุดปกแข็งสีน้ำเงินมาถวาย แล้วบอกว่าเป็นของที่พระอาจารย์ฝากไว้นานแล้ว จึงเอามาคืนให้ เราก็แปลกใจ เพราะจำไม่ได้ว่าเคยฝากของสิ่งนี้ไว้ เราจึงพูดว่ามันเป็นของอาตมาจริงหรือ พวกเขาก็ยืนยันว่าจริง เราจึงหยิบขึ้นมาเปิดดูข้างใน จึงจำได้ว่าเป็นลายมือของตัวเอง แต่ไม่รู้ว่าเขียนไว้ตั้งแต่เมื่อใด พอออกพรรษาแล้วถึงหน้าหนาวก็เลยเข้าไปพักวัดหนองป่าพงระยะหนึ่งเพื่อสอบนักธรรมชั้นเอก ซึ่งปรากฏว่าปีนั้นเราสอบได้เพียงรูปเดียวของอำเภอวารินชำราบ (สนามสอบวัดวารินทราราม) พอถึงเวลาไปรับใบประกาศหลวงพ่อเจ้าคณะอำเภอท่านเล่าว่า ปีนี้จำได้ง่ายเพราะสอบได้เพียงรูปเดียวเท่านั้น นอกนั้นตกหมด  ส่วนสาเหตุที่ไม่ได้สอบนักธรรมติดต่อกันทุกปีนั้น สมัยก่อนมีความเห็นว่า การเรียนนักธรรมเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติ จึงไม่ได้ใส่ใจเท่าที่ควร สู้ไปศึกษาอบรมกับครูบาอาจารย์ไม่ได้ ต่อมาภายหลังจึงได้รู้ว่าการศึกษาปริยัติก็มีความจำเป็นต่อการปฏิบัติมากเหมือนกัน จะได้มีเครื่องวัดและตรวจสอบการปฏิบัติของตัวเองอีกทางหนึ่ง ว่าถูกผิดประการใดบ้าง หรือใช้ในการสื่อสารแนะนำคนอื่นได้อีกด้วย

จากนั้นได้เดินทางไปเที่ยวธุดงค์ เขตจังหวัดมุกดาหาร และเที่ยวลงมาเรื่อยๆ จนถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2540 ฝนเริ่มตกก็กลับมาถึงวัดถ้ำน้ำทิพย์  พวกโยมชาวไร่ที่อาศัยอยู่แถวนั้นรู้ข่าวเข้า พอตอนเช้าเขาก็ชวนกันมาทำบุญแล้วพูดให้เราฟังว่าได้ไปติดต่อซื้อที่ดิน ที่ตรงชายเขาทางขึ้นมา และมีผู้บริจาคที่ดินที่ติดต่อกันเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง เพื่อจะสร้างให้เป็นวัดถาวรต่อไป จึงขอ นิมนต์อาจารย์ให้ลงมาอยู่บริเวณนั้น (ซึ่งก็ตรงกับสถานที่ที่เห็นในสุบินนิมิตว่าเขาเอาของที่ฝากไว้มาคืนให้นั้นเอง) ญาติโยมจะได้มีโอกาสมาทำบุญได้สะดวกขึ้น ระยะทางก็ห่างจากถ้ำที่เคยอยู่ประมาณ 1 กิโลเมตร แต่อยู่นอกเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และสามารถที่จะทำเป็นวัดให้ถูกต้องตามกฎของมหาเถระสมาคมได้ เราจึงพิจารณาดูว่า  เราก็ได้ผ่านการศึกษาและปฏิบัติจากครูบาอาจารย์ และจากการค้นคว้าพร้อมทั้งประสบการณ์การปฏิบัติด้วยตนเองก็เป็นเวลา10กว่าปีแล้ว  คงจะพอทำประโยชน์แก่ส่วนรวมได้บ้างไม่มากก็น้อยจึงรับนิมนต์ จากนั้นพวกโยมก็ได้ร่วมกันสร้างเสนาสนะที่พักอาศัยขึ้น ซึ่งแต่ก่อนเราอยู่บนถ้ำไม่ได้มีการก่อสร้างอะไรมากมีเพียงห้องน้ำหลังเดียวเท่านั้น  ผู้คนก็ไม่ค่อยขึ้นมารบกวนการภาวนา เพราะทางขึ้นลงลำบาก บิณฑบาตกลับมาก็ฉันตามมีตามได้พอถึงวันพระพวกชาวไร่จึงขึ้นมาถวายจังหันครั้งหนึ่ง  พอถึงวันเข้าพรรษาปี 2540 เราก็เริ่มลงมาฉันอาหารอยู่ที่นี่ แต่ก็ได้ขึ้นมาบำเพ็ญภาวนาอยู่บนถ้ำบนเขาอยู่ตลอด  เพราะระยะทางขึ้นลงแค่กิโลเดียวเท่านั้น ปีต่อมาได้ขยายที่ดินเพิ่มอีกรวมแล้วเป็นที่ดินจำนวนประมาณ 75 ไร่ ซึ่งสมัยนั้นราคายังไม่แพงนัก ประมาณไร่ละ 5-6 พันบาทเท่านั้น  ภายหลังจึงทำรั้วกำแพงล้อมรอบไว้ เพื่อกันไฟป่าและเป็นเขตวัดที่ชัดเจน จากนั้นก็มีอุบาสกอุบาสิกาขึ้นมารักษาศีลอุโบสถปฏิบัติธรรมในวันพระตลอดปีและนำลูกหลานมาบวชเป็นพระภิกษุสามเณรจำนวนมากขึ้นตามลำดับ เราก็เลยดำเนินการขอสร้างวัดให้ถูกต้องตามกฎระเบียบของมหาเถระสมาคม ตามลำดับ

เมื่อวันที่ 23 เมษายนพ.ศ.  2545 ได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้ให้ใช้พื้นที่เพื่อสร้างวัด วันที่  24 กุมภาพันธ์ พ.ศ.  2546 ได้รับอนุญาตจากกรมศาสนาให้สร้างวัด  วันที่  21 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ได้รับการประกาศแต่งตั้งวัดถ้ำน้ำทิพย์อย่างถูกต้อง

วันที่ 29  เมษายน  พ.ศ.  2548   สร้างศาลาโรงธรรมถ้ำน้ำทิพย์  ขนาด 18 x 40 มูลค่า 3 ล้านบาท เสร็จ และถวายสงฆ์

วันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ.  2548 ได้มีการประชุมรับรองจากคณะสงฆ์วัดหนองป่าพงให้ขึ้นเป็น  วัดสาขาที่ 190 ของวัดหนองป่าพง

วันที่ 2  กรกฎาคม พ.ศ.  2548  ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส  วัดถ้ำน้ำทิพย์

วันที่ 27  กันยายน  พ.ศ.  2549 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา

วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 ทำการปักเขตสีมาซึ่งตรงกับบุญกฐินพอดี ตอนเช้าก็มีหลวงพ่อพระครูอุดมวิหารกิจพระอุปัชฌาย์สมัยบวชสามเณร มาเป็นประธานสงฆ์ รวมทั้งเจ้าคณะอำเภอน้ำยืน รองเจ้าคณะ และเจ้าคณะตำบล พร้อมกับครูบาอาจารย์อีกจำนวนมาก  ส่วนฆราวาสก็มีท่านนายอำเภอน้ำยืน (นายสุรชัย  ชวาลารัตน์) เป็นประธานในการปักเขตสีมาให้ถูกต้อง ตอนเย็นก็ได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อเจ้าคุณพระราชภาวนาวิกรม (หลวงพ่อเลี่ยม ฐิตธัมโม) เจ้าอาวาสวัดหนองป่าพงมาเป็นประธานและแสดงธรรม 1 กัณฑ์

วันที่ 27-29  เมษายน พ.ศ. 2551 ได้ มีพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุซึ่งได้รับมอบจาก สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก (สมเด็จพระญาณสังวร  เจริญ  สุวฑฺฒโน) และหลวงพ่อเจ้าคุณ  พระเทพโมลี เจ้าคณะเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร เป็นตัวแทนบรรจุไว้ที่เกศพระประธานในศาลาโรงธรรม

ปี พ.ศ. 2551 ได้ทำถนนคอนกรีตเสริมเหล็กภายในวัดเป็นมูลค่า 1 ล้านกว่าบาท

ปี พ.ศ. 2552 ได้สร้างเมรุถาวร พร้อมทั้งศาลาพักญาติขนาด 20 x 25 เมตร ขึ้นภายในวัดถ้ำน้ำทิพย์ เป็นมูลค่าประมาณ 1 ล้านบาท

ปี พ.ศ. 2553 ได้สร้างกุฏิรับรอง 2 ชั้น ขนาด 12 x 24 เมตร เป็นมูลค่าประมาณ 2 ล้าน บาท พร้อมกับสร้างห้องน้ำพระเณรจำนวน 8 ห้องโดยใช้อุปกรณ์อย่างดี เป็นมูลค่าประมาณ 2 แสนบาท

ปี พ.ศ. 2553  ทางวัดถ้ำน้ำทิพย์ได้เข้าร่วมประกวดตามโครงการ “วัดส่งเสริมสุขภาพ” และได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับที่ 1 ของเขต 7 ซึ่งครอบคลุม 7 จังหวัดในภาคอีสาน โดยได้รับโล่ห์เกียรติคุณจากนาย สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมอนามัย นอกจากนี้ยังได้รับโล่รางวัลระดับดีเยี่ยม ตามการประเมินในโครงการ “อุบลเมืองสะอาด ราชธานีอีสาน” ของผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี

ปี พ.ศ. 2554 ทางวัดถ้ำน้ำทิพย์ ได้รับการประกาศแต่งตั้งจากมหาเถระสมาคม ให้เป็นสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัด อุบลราชธานี แห่งที่ 16 เพื่อเป็นการเปิดอบรมจริยธรรมแก่นักเรียนชั้นประถมและมัธยมศึกษาซึ่งมีหลายโรงเรียนในเขตอำเภอน้ำยืนที่เคยเข้าร่วมการอบรม และทางวัดยังจัดงานปฏิบัติธรรมของอุบาสกอุบาสิกาและพระเณรทั่วไประหว่างวันที่ 27-30 เมษายน  ของทุกปี ซึ่งมีญาติโยมและพระเณรเข้าร่วมงานเป็นจำนวนหลายร้อยคนและเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกปี และในปี พ.ศ. 2555 ได้รับคัดเลือกให้เป็น สำนักปฏิบัติธรรมดีเด่นประจำปี ซึ่งเป็นวัดหนึ่งในจำนวน 80 วัดทั่วประเทศ

ปี พ.ศ. 2553-2555  สร้างโรงอุโบสถ ขนาด 16×32 เมตร สองชั้นมูลค่า 9 ล้านบาท เสร็จเรียบร้อย

วันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2557  ได้ทำพิธี ตัดหวายลูกนิมิต และพัทธสีมาให้ถูกต้องตามธรรมวินัย  จึงขอสรุปประวัติแต่พอสังเขป ไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่านทั้งหลายทุกเมื่อเทอญ