ประวัติวัดสามโค

เดิมวัดชื่อเดิมว่า “วัดราษฏร์ศรัทธาธรรม” สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๐

นำโดย พ่อเสาร์ เขางาม ซึ่งท่านดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านและท่านพร้อมครอบครัวมอบเนื้อที่ ๑๔ ไร่ มอบให้สร้างโรงเรียน ๗ ไร่ และสร้างวัด ๗ ไร่ และได้ชักชวนญาติๆ จากหมู่บ้านโคกอาโพน บ้านสวายช่วยกันตัดเลื่อยไม้นำมาสร้างเป็นศาลาการเปรียญยกพื้นสูงขึ้นมาหนึ่งหลัง โดยกั้นเป็นห้องๆ อยู่ ๕ ห้อง ห้องต้องให้พระสงฆ์พักจำวัดอยู่โดย ได้นิมนต์พระสุนทร จาก ตำบลเทนมีย์ อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ มาจำพรรษา หลังจากนั้นอีก ๓ ปี พระสุนทรได้ลาสิกขาบท จึงได้ไปนิมนต์พระเฉลียว อาจาโร จากอำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีษะเกษ มาเป็นเจ้าอาวาสและมีพระสงฆ์จำพรรษามาอย่างต่อเนื่องมีการปฏิบัติธรรมมีกิจกรรมในวันสำคัญต่างๆ โดยชาวบ้านได้มาฟังธรรมจัดงานตามประเพณีตลอดมา โดยยุคนั้นเป็นยุคที่ข้าวยากหมากแพงความแห้งแล้งก็เกิดขึ้นเพราะชาวบ้านมีอาชีพเกษตรกรรมอย่างเดียว อาหารและความเป็นอยู่ไม่ค่อยสมบูรณ์ เจ้าอาวาสจำพรรษาได้ประมาณ ๓ พรรษาจึงขอย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านแสรออ (ปัจจุบันคือวัดปราสาททอง) เนื่องจากตำแหน่งเจ้าอาวาสยังว่างและวัดนี้มีหมู่บ้านรอบๆวัดอยู่ ๙ หมู่บ้านด้วยกันความเจริญและความสมบูรณ์จึงดีกว่าทำให้วัดราษฎร์ศรัทธาธรรมไม่มีพระสงฆ์เจ้าพรรษาและเป็นวัดที่ขึ้นต่อกระทรวงการศึกษา วัดนี้จึงขึ้นทะเบียนเป็นวัดร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๕ และต้องจ่ายภาษีให้แก่กรมการทางศาสนามาทุกปีเรื่อยมา

ในปี พ.ศ. ๒๕๔๐ นำโดยนางประนอม ขาวงาม ได้รับคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ใหญ่บ้านและเป็นบุตรของพ่อเสาร์-แม่เยียน ขาวงาม จึงคิดฟื้นฟูวัดขึ้นมาใหม่โดยได้สละทรัพย์ส่วนตัวจำนวนสองแสนบาท โดยทำการถมดินในระยะแรกและสร้างศาลาขึ้นหนึ่งหลังพร้อมกับสร้างกุฏิขึ้นด้วย เมื่อชาวบ้านเห็นจึงเกิดการเลื่อมใสศรัทธาจึงได้ร่วมด้วยช่วยกันหาเงินหรือปัจจัยต่างๆในการพัฒนาวัดโดยการจัดงานทอดผ้าป่าสามัคคีรวบรวมสร้างศาสนสถานที่ถาวรมีพระมาขอจำพรรษาที่วัดอย่างต่อเนื่องแต่ยังไม่เป็นทางการ

                ในปี พ.ศ. ๒๕๔๖ ของวันที่ ๑๓ เมษายน ได้ไปนิมนต์พระสงฆ์จากวัดเทพจตุรทิศ โดยท่านได้เดินทางมาเยี่ยมวัดทนงรัตน์ผู้ใหญ่บ้านได้นิมนต์ท่านมาจำพรรษาในตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาสและได้รับการยกเลิกจากวัดร้างที่มีพระภิกษุจำพรรษาและใช้ชื่อว่า “วัดสามโค” เมื่อวันที่ ๑๒  สิงหาคม ๒๕๔๘

                ในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ ชองวันที่ ๑ กรกฎาคม ได้แต่ตั้งพระสุพินเป็นพระอธิการสุพิน ปัสสันโต เป็นเจ้าอาวาส

                วันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ พระอธิการสุพิน ปัสสันโต ได้รับสมณศักดิ์พัดยศเป็นพระครูปราสาทสุวรรณกิจ

                วันที่ พ.ศ. ๒๕๖๐ ได้รับแต่งตั้งพระครูปราสาทสุวรรณกิจ เป็นรองเจ้าคณะตำบลตากูก-ปราสาททอง เป็นเจ้าอาวาสวัดสามโคจนถึงปัจจุบัน

ทรัพย์สินชองวัดสามโค

  •   ศาลาการเปรียญ ๑ หลัง ชื่อว่า “ศาลาอรินทรัพย์”
  • กุฏิ มีจำนวน ๘ หลัง
  • ศาลาพักเมรุ ๒ หลัง
  • ศาลาสหธรรม ๒ หลัง
  • ศาลาอิ่มบุญ  ๒  หลัง
  • โรงอาหาร  ๑ หลัง
  • หอกลอง หอระฆัง  ๒  หลัง
  • อุโบสภ ๑  หลัง
  • ห้องน้ำ  ๔ แห่ง

ประวัติ ช้างพลายบุญรอด

ถิ่นกำเนิดขึ้นที่ประเทศกัมพูชา ณ ป่าดงดิบ เมืองเสียมราชเข้ามาเมืองไทยที่จังหวัดสุรินทร์ ณ บ้านดงบัง อำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์ เมื่ออายุประมาณ ๓ ขวบ โดยคุณตากลืน เหล่างาม คุณตาจอก คุณตาจาม มุมทอง ชาวบ้านสามโค ไปรับซื้อมาเลี้ยงไว้ในหมู่บ้านด้วยใจรัก เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๙ และให้ลูกชายชื่อ นายจวน เหล่างาม และหลายชาย ชื่อ นายบุญเกิด ชาวนา รับหน้าที่เป็นควาญช้าง บุญรอดเป็นช้างที่เลี้ยงเชื่องไว เลี้ยงง่ายฝึกให้ทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น บุญรอดจึงเติบโตตามลำดับ ใช้ภาษาพูดคือเขมรและกูย (ส่วย) เป็นสื่อในชุมชน, ท้องถิ่น, จังหวัด มีงานบวชนาค ก็มาติดต่อให้บุญรอดไปรับใช้ ถือว่าเป็นประเพณีท้องถิ่นนิยมให้นาคขึ้นขี่ช้างแห่เพราะคิดว่าช้างเป็นสัตว์ใหญ่คู่บ้านคู่เมือง หากได้ช้างให้นาคขึ้นหลังก็จะเป็นสิริมงคลแก่ผู้บวชและวงศ์ตระกูล โดยได้รับค่าตอบแทนไม่มากในสมัยนั้น และที่สำคัญที่สุดช้างบุญรอดได้เข้าร่วมงานประจำปีของจังหวัดสุรินทร์ คือ งานช้างแฟร์และงานกาชาดมาเป็นเวลาหลายปี ทุกปีช้างบุญรอดจะเข้าร่วมทุกครั้ง ขวบจนกระทั่งปี พ.ศ.๒๕๒๕ ควาญช้างคือนายจวน เหล่างาม โดนช้างเชือกอื่นเหยียบและเสียชีวิตลง บุญรอดแสดงอาการซึมเศร้าคล้ายกับเสียใจที่ควาญช้างจากไป บุญรอดเริ่มกินอาหารน้อยลง ร่างกายซูบผอมและมีโรคประจำตัว ในปี พ.ศ.๒๕๒๙ บุญรอดก็ตายลงนำความเศร้าโศกแก้ผู้เป็นเจ้าของอย่างมาก และได้นำร่างของบุญรอดไปฝังไว้ที่โคนหญ้าคาห่างจากหมู่บ้าน ๕ กิโลเมตร ระยะเวลาฝังไว้ ๑๐ ปี จนในปี พ.ศ. ๒๕๔๕ ผู้ใหญ่ประนอม ขาวงาม ได้ขออนุญาตจากคุณตาทั้งสามคน เพื่อขุดนำเอากระดูกของช้างบุญรอดขึ้นมา บำเพ็ญกุศลและเก็บกระดูกไว้เป็นอนุสรณ์ ณ วัดสามโค ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ต่อมาผู้ใหญ่ประนอม ขาวงาม ได้ให้ช่างมาปั้นเป็นรูปเหมือนของช้างบุญรอดโดยใช้ทุนส่วนตัวเป็นเงิน ๖๐,๐๐๐ บาท ทำพิธีบวงสรวงโดยแม่พราหมณ์ ภายในศีรษะช้าวจะบรรจุเหรียญของหลวงพ่อเกจิอาจารย์ไว้ เช่นหลวงปู่ฟั่น หลวงปู่สาม หลวงปู่ดูล พร้อมทั้งอาภรณ์มี ผ้าไหม, โสร่ง, โฮล, สาคู ฯลฯ ที่ท้องช้างก็นำกระดูกของช้างบุญรอดเข้าเก็บไว้เสมือนหนึ่งบุญรอดยังมีชีวิตอยู่ เพื่อให้ชนรุ่นต่อมาได้ศึกษาและทราบเรื่องราวได้โดยตลอด

เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น

ครั้งที่ ๑

นักเรียนโรงเรียนแสรออ ตำบลปราสาททอง จัดกิจกรรมมาพักแรมที่โรงเรียนบ้านสามโค ตกกลางคืนนักเรียนชายหลังจากพักกิจกรรมแล้วมีการดื่มเหล้าเมายา มีเด็กคนหนึ่งพูดไม่ดีหรือทำอะไรไม่ดีงามขึ้น เขาวิ่งกลับไปกลับมาเพื่อนๆจับไม่อยู่ พูดว่า ช้างบุญรอดไล่ล่า พยายามวิ่งหนีเพื่อเอาตัวรอด เพื่อนๆจึงเรียกคุณครูมาดูเห็นเป็นเช่นนั้นก็เลยไปปลุกเจ้าอาวาสวัดมาขอขมา นักเรียนชายคนนั้นจึงสงบลงและนิ่ง พนมมือขอขมาที่แสดงกริยาไม่ดีงาม

ครั้งที่ ๒

คนในชุมชนบ้านสามโคได้จัดพิธีบวชพระให้แก่ลูกชายตน จึงมาจัดงานที่วัดและทำอาหารใกล้ที่ของช้างบุญรอดยืนอยู่การจัดงานทางเจ้าภาพจะต้องตระเตรียมงานเดินไปเดินมาผ่านช้างบุญรอดก็หลายครั้ง พอตกกลางคืน เจ้าภาพหลับและฝันเห็นช้างบุญรอดมาต่อว่า ให้อาหารการกินคนอื่น ส่วนอาหารไม่ยอมแบ่งให้ช้างได้กินบ้างเลย เพราะเขาเป็นเทพบุตรรอดแล้ว อาหารคนเขาก็กินได้ ไม่จำเป็นกินเฉพาะอาหารสัตว์อย่างนี้เป็นต้นและอีกหลายๆเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับวิญญาณของช้างบุญรอด

ต่อมาการจะจัดงานครั้งใดจำเป็นจะต้องบวงสรวงบอกกล่าวไม่เฉพาะปู่ย่าตายาย ศาลพระภูมิ ศาลเจ้าที่และจะต้องบอกให้ช้างบุญรอดได้รับทราบด้วยทุกครั้งไป