

วัดมุจลินทาราม
วัดมุจลินทาราม ตั้งอยู่ที่เลขที่ ๒ หมู่ ๑๔ ตำบลดอนจิก อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี
ประวัติวัด
ธรรมเนียมไทย เมื่อมีบ้านก็ต้องมีวัดเป็นของคู่กัน “วัดแจ้งดอนจิก” คือนามเดิม ครั้งต่อมาได้เปลี่ยนเป็น “วัดมุจลินทาราม” โดยตั้งนามให้สอดคล้องกับนามบ้านนั่นเอง ไม้จิก หมายถึงไม้มุจลินในภาษาบาลี ครั้งผู้เขียนได้ไปศึกษาที่ประเทศอินเดีย ได้พยายามเทียบเคียงระหว่างไม้จิกไทย กับไม้มุจลินแขกนั้นดูเหมือนจะใกล้เคียงกัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นชนิดเดียวกัน แต่เราก็ต้องยอมรับอยู่อย่างหนึ่งว่าเป็นไม้อยู่ในตระกูลเดียวกันแต่ว่าจะไม่เหมือนกันเลยที่เดียว เพราะดินฟ้าอากาศแตกต่างกัน จะเหมือนกันอยู่อย่างเดียวคือเป็นไม้เนื้อแข็งเหมือนกัน
วัดบ้านดอนจิกแห่งแรก ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของบ้าน มีอาณาเขตเพียงเล็กน้อยคือกว้างยาว ๑ เส้น มีหลวงพ่อไชยวงศ์เป็นเจ้าอาวาส หลวงพ่อไชยวงศ์เป็นคนเมืองลุ่มเมืองเลย เดินทางมาพักอยู่บ้านบุ่งคำชาวบ้านนิมนต์มาเป็นเจ้าอาวาสวัดนี้ตั้งอยู่ได้สองปีก็ร้างไป
วัดดอนจิกแห่งที่สอง ตั้งอยู่ที่ทางทิศใต้ของหมู่บ้านชื่อว่า “วัดกุฎจิก”ที่ให้นามว่า “กุฎจิก” เพราะตั้งอยู่ใกล้หนองยาว ๆ และหนองน้ำแห่งนี้เคยสมมติให้เป็น “ที่ปรสีมา”(ฉิมน้ำ) มาครั้งหนึ่งเจ้าอาวาสก็เป็นองค์เดิมคือ
๑. หลวงพ่อไชยวงศ์ นั่นเองท่านอยู่ได้ ๕ ปี ก็มรณภาพ
วัดดอนจิกแห่งที่สาม ได้แก่วัดมุจลินทารามที่เป็นอยู่ปัจจุบันนี้เมื่อหลวงพ่อไชยวงศ์มรณภาพลง
๒. หลวงพ่อเทา ก็เป็นเจ้าอาวาสแทน หลวงพ่อเทาเป็นคนบ้านสว่าง อำเภอวารินชำราบ และท่านอยู่ได้ ๖ พรรษาก็ลาสิกขา ผู้เป็นเจ้าอาวาสต่อมาคือ
๓. พระอธิการเพ็ง และพระลูกวัดของท่านคือ พระพูล ทั้งสองเห็นว่าที่ตั้งวัดนั้นเดิมคับแคบ ประกอบกับอยู่ในทิศทางที่ไม่เหมาะสม เพราะโดดเดี่ยวเกินไปจึงปรึกษากับนาย ตา แสงเบ้า ผู้ใหญ่บ้านขณะนั้น ตลอดจนญาติโยมได้มีความเห็นพ้องต้องกันว่าสมควรย้ายวัดมาตั้งในที่ดินที่เป็นวัดมุจลินทารามขณะนี้ ซึ่งแต่ก่อนเรียกว่า “ดอนน้ำเที่ยง” ประมาณ พ.ศ.๒๔๓๙ ครั้งแรกที่ดินวัดมีเนื้อที่ กว้าง ๒ เส้น ยาว ๒ เส้น มีกุฎี ๑ หลัง ครั้งต่อมา พระอธิการเพ็ง และท่านพูลได้ลาสิกขาจึงว่างเจ้าอาวาสอยู่ ๒ ปี
๔. พระคูณ จึงเป็นเจ้าอาวาสแทน ต่อมาอีก ๒ ปีพระคูณลาสิกขาอีก บังเอิญมี
๕. พระลา เดินทางมาจากบ้านบก อำเภอเขื่องใน ชาวบ้านจึงนิมนต์ให้ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดนี้ ท่านอยู่ได้ไม่นานก็ลาสิกขา
๖.พระสอน ได้สืบทอดต่อมา พระสอนได้ชักชวนชาวบ้านดอนจิกผูกพัทธสีมา ไว้เป็นถาวรวัตถุ ได้นิมนต์พระอุปัชฌาย์จากบ้านสร้างแก้วเป็นเจ้าอาวาสมาเป็นประธานในพิธีต่อมาพระสอนลาสิกขา
๗.พระสี เป็นเจ้าอาวาสแทน พระสีเป็นคนบ้านโคกก่องหนองอี่เอ็น ได้ติดตามโยมบิดามารดามาอาศัยอยู่ที่ตำบลดอนจิก ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือมาก จึงได้นิมนต์ให้เป็นเจ้าอาวาสวัดนี้ พระอธิการสี ได้สร้างกุฏิขึ้นอีก ๑ หลัง และในยุคนี้มีพระภิกษุสามเณรเป็นจำนวนมากท่านอยู่ได้ประมาณ ๑๐ ปีก็ลาสิกขา
๘.พระปา ทำหน้าที่เจ้าอาวาสต่อมาอีก ๒ ปีก็ลาสิกขา เจ้าอาวาสองค์ต่อมาคือ
๙.พระโสม อยู่ได้ประมาณ ๓ ปีก็มรณภาพ พระโสมมีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านบก อำเภอเมืองอุบล ท่านมีพรสวรรค์ในทางเขียนหนังสือสารคดีต่าง ๆ เช่น นิทาน กลอน แต่ท่านเขียนด้วยอักษรลาว ผู้สืบทอดเจ้าอาวาสต่อมาคือ
๑๐.พระครูสาธุธรรมจารี (สา) ยุคนี้ถือว่าเป็นยุคทองของวรรณคดี วัดได้กลายเป็นสำนักเรียนมีนักปราชญ์อาจารย์มากมาย นอกจากสำนักเรียนแล้ววัดยังกลายเป็นสถานที่ฝึกศิลปินอีกด้วย เช่น ฝึกหมอลำ ในทางวิชาการแก้ข้อชักถาม พระครูสาธุธรรมจารีเป็นผู้แต่งกลอนให้ทุกคนที่เรียนจบจากสำนักนี้จะเป็นพระก็ดี เป็นหมอลำก็ดี จะเป็นที่นักใจของคู่ต่อสู้ไม่น้อยเลย ในความมั่นคงของวัดวาศาสนานี้ จะมีเด็กวัดประมาณ ๘๐ คนมิได้ขาด พระภิกษุสามเณรมากกว่า ๑๐๐ รูป เพราะในสมัยโบราณการศึกษายังไม่เจริญ ยังต้องอาศัยวัดเป็นที่ให้การศึกษาอยู่ พ่อแม่มักจะสอนลูกหลานว่า ถ้าเป็นผู้ชายต้องไปบวชเรียนเขียนอ่าน ถ้าเป็นเด็กหญิงก็ให้เรียนการบ้านการเรือนจากพ่อจากแม่ เช่น เย็บปักถักร้อย ปรุงอาหาร มารยาทที่ดี เพื่อการครองตนในเมื่อแต่งงานมีเย้าเรือนเป็นต้น
ครั้งต่อมาการศึกษาฝ่ายนักธรรมบาลีอ่อนกำลังลงทั้งในกรุงเทพ ฯล. และต่างจังหวัด เจ้าสำนักเรียนต่าง ๆ มีความห่วงใยในอนาคตของพระศาสนาในชนบทว่า ต่อไปจะหาพระเป็นเจ้าอาวาสในถิ่นทุรกันดารได้ยาก จึงได้ปรึกษาหารือกับบรรดาศิษย์ มีพระมหาคำเอี่ยง มานิโต เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ คณะครูโรงเรียน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นผู้ร่วมปรึกษาหารือให้จัดตั้งเป็นโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญขึ้นมาอีกส่วนหนึ่ง โรงเรียนดังกล่าวสังกัดกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ พร้อมกันนั้นชาวบ้านดอนจิก มีนายสงกรานท์ ดุจดา, นายวันทา เชิดชู, นายวิทูรย์ ดุจดา, ซึ่งทำงานอยู่กรุงเทพ ฯล ได้ชักชวนญาติสนิทมิตรสหายที่ประกอบสำมาอาชีพอยู่ที่กรุงเทพ ทั้งที่เป็นชาวบ้านดอนจิกและเพื่อนฝูงที่อยู่กรุงเทพ ฯล และต่างจังหวัด ส่วนทางฝ่ายบรรพชิตก็มีพระมหาคำเอี่ยง มานิโต วัดโมลีโลกยาราม อำเภอบางกอกใหญ่กรุงเทพ ฯล ได้ร่วมกันจัดผ้าป่าและกฐินมาทอดเพื่อหาทุนก่อตั้งมูลนิธิ เพื่อการศึกษาของพระภิกษุสามเณร การทอดผ้าป่า และกฐินทำกันเป็นประจำนอกจากจะเป็นมูลนิธิเพื่อการศึกษาแล้วยังหาทุนสร้างอุโบสถขึ้นอีก ๑ หลัง กว้างประมาณ ๖ เมตร ยาวประมาณ ๑๒.๕๐ เมตร และกำแพงแก้วล้อมรอบ สิ้นเงินจำนวน ๓๖๐,๐๐๐ บาท (สามแสนหกหมื่นบาทถ้วน) สำหรับการสร้างพระอุโบสถหลังนี้ นับว่าได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งชาวบ้านและชาวต่างถิ่นเกือบทั่วประเทศเป็นอย่างดียิ่ง จึงขอภาวนาให้ทุกท่านที่มีส่วนสร้างพระอุโบสถหลังนี้ จงประสพความสำเร็จในชีวิตโดยทั่วกันทุกประการ
ภาษิตอีสาน (พระครูสาธุ สอนศิษย์)
สิได้บ่ห่อนเสีย คาดสิเป็นผัวเป็นเมียบ่ห่อนฮ้าง
ทันควายทันเมื่อขี้ ทันหนี้ทันเมื่อความ
คันได้กินน้ำปลาแล้ว อย่าลืมคุณบั้งปลาแดก
บาดห่าเฮาแตกบ้าน ยังสิได้ใส่แกง
ได้เมียผู้ดีปานแก้วคูณล่าง ได้เมียผู้ช่างปานแก้วคูณเฮือน
ดีแต่เขาคนฮ้าย ภายโตบ่เตื้องต่อ
ติแต่คออึ่งเผ้า คอเจ้าผัดแห่งจน
กินบ่ซ่างกินเป็นนี้ ซีบ่ซ่างซีจนเหล็กคต ตดบ่ซ่าคตขี่ออกนำ
หวังสิเดินไปหน้า อย่าถอยหลังให้เขาเหยียบ
ให้ไปตายหน้าพุ้น เขาสิย่องว่าดี
พระประธานประจำอุโบสถ
วัดมุจลินทาราม


อุโบสถ
วัดมุจลินทาราม




ศาลาการเปรียญ
วัดมุจลินทาราม

พระประธานประจำศาลาการเปรียญ
วัดมุจลินทาราม


พระประจำวันเกิด
วัดมุจลินทาราม

พระอธิการบุญมา ปริสุทฺโธ
เจ้าอาวาสวัดมุจลินทาราม


ประวัติพระครูสาธุธรรมจารี (สา)
นามเดิม สา พันนิล ชาติการเกิดวันพฤหัสบดี เดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๔๓๔ บรรพชาเป็นสามเณร เมื่ออายุ ๑๕ ปี ที่วัดคำใฮใหญ่ ตำบลคำใฮใหญ่ อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี มีพระอธิการโสมเป็นพระอุปชฌาย์มีความรู้ขั้นประถม ๓ โดยเทียบเท่า ต่อมาได้ย้ายไปเรียนสนธิ และเรียนมูลกัจจายน์อยู่ที่สำนักวัดสระ บ้านกุฏสะกอน อำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี ศึกษามูลกัจจายน์ แปลคัมภีร์ ทั้ง ๕ (คำภีร์พระวินัย) จากท่านอาจารย์ฝ้าย (บัณฑิต) ครบ ๕ ปีจึงจบการศึกษา ต่อมาเมื่อปี ๒๔๗๘ สองบได้นักธรรมชั้นตรี เมื่อปี ๒๔๘๒ สอบได้นักธรรมชั้นโท
ตำแหน่งหน้าที่การงาน
เมื่อปี ๒๔๘๓ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะตำบลดอนจิก
เมื่อปี ๒๔๘๓ ได้รับพระราชทานเป็นพระครูสัญญาบัตรที่ พระครูสาธุธรรมจารี
การพัฒนา
นำชาวบ้านสร้างกุฏิ ๑๐ หลัง
ซ่อมกุฏิวิหารที่มีสภาพคร่ำคร่าชำรุดทรุดโทรมให้มีสภาพถาวร
ขยายอาณาเขตวัดให้ยาวไปทางทิศใต้ ๑ เส้น ไปทางทิศเหนือ ๑ วา ทางทิศตะวันออก ๓ วา
สร้างเสาเขื่อนส้อมวัดจนรอบ
สร้างโบสถ์มหาอุต ๑ หลัง
สร้างศาลาการเปรียญ ๑ หลัง
สร้างพระพุทธรูปบูชา หน้าตักขฯด ๒ ฟุตครึ่ง ราคา ๕๙๐ บาท (ห้าร้อยเก้าสิบบาท)
สร้างพระไตรปิฎกภาคภาษาบาลี ๑ ชุด
การจัดการศึกษา
จัดตั้งสำนักเรียนพระปริยัติธรรมขึ้น มีพระภิกษุสามเณรเข้ามารับการศึกษาอบรมเป็นจำนวนมาก
การศาสนสงเคราะห์
ญาติโยมมีความเคารพนับถือเหมือนเทพเจ้า เมื่อชาวบ้านเจ็บไข้ได้ป่วยพอได้พบเห็นหน้าท่านอาการป่วยก็หาย ในสมัยนั้นบ้านเมืองอยู่ในระหว่างเผชิญกับภัยสงคราม (สงครามโลกครั้งที่ ๒) ประชาชนมีขวัญดีอยู่ตลอดเวลา เพราะมีท่านเป็นหลักทางใจ ไม่มีใครหลบเลี่ยงการเป็นทหาร เมื่อถึงวาระทุกคนต่างก็พร้อมจะเข้าสู้สงครามเพราะทุกคนต่างก็เชื่อกันว่าถึงจะไปรบกับข้าศึกก็มีหวังชนะ ได้กลับมาแน่ ทั้งนี้เพราะทุกคนต่างก็เป็นลูกศิษย์ของญาท่านสา ทุกคนชายหญิงในหมู่บ้านนี้ มีอายุยืนยาวโดยทั่วกัน เพราะทุกคนอิ่มเอิบไปด้วยธรรม
ของดีจากท่าน
มรดกชิ้นสุดท้ายของท่านพระครูสาธุธรรมจารีที่ทิ้งไว้ให้ลูกหลานได้รำลึกเป็นอนุสรณ์คือ “ความดี” อันความดีของท่านนั้นมีกลิ่นหอมตระหลบอบอวนทวนลมอยู่ตลอดเวลา รุ่นลูกรุ่นหลานได้รับการบอกเล่าจากพ่อแม่คุณปู่ คุณย่า ว่าญาท่านสา คือใคร ต่างก็พร้อมกันหันหน้ามาทางวัด แล้วก็ก้มลงกราบสามครั้ง พร้อมทั้งสวดมนต์ภาวนาให้พระคุณของท่านมาคุ้มครองป้องกันภยันตรายทั้งปวง ทุกวันนี้เมื่อชาวบ้านมีความทุกข์ร้อนก็มักจะมาบนบานสานกล่าวอัฏฐิของท่าน ถึงผู้เขียนเองก่อนจะไปเรียน ก็ตั้งจิตอธิฐานแล้วขณะที่เรียนอยู่ก็ระลึกถึงบุญคุณของท่าน เป็นเดชะบุญทุกครั้งไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยถึงกับต้องล้มหมอนนอนเสื่อเลย ความสามารถทางสติปัญญาก็ดูเหมือนฉับไวซึ่งเป็นที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก
สำหรับวัตถุมงคลทางด้านไสยศาสตร์ของท่านนั้นก็มีผ้ายันต์อิติปิโส ๔ ทิศ ยันต์ตีณิสิงเห ปะถะหมัง ลงนะหน้าทอง ผงอิธะเจ คาถาไก่แก้วหลงรัง ผู้ถือวัตถุมงคลของท่านต้องถือสัจจะ ใครไม่มีสัจจะถือวัตถุมงคลของท่านไม่ขึ้น ศาสนธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ดุจทองอันบริสุทธิ์ ศาสนพิธีทางศาสนา และไสยศาสตร์นั้น ดุจผ้าห่อทอง ทั้งสองจะต้องอาศัยกันจึงจะอยู่ได้ ถ้ามีแต่ทองปราศจากผ้าห่อ ทองย่อมเข้าสนิมไวเป็นธรรมดา และธรรมชาติของช่างทองผู้ฉลาดย่อมแยกได้ว่าอันไหนเป็นผ้าห่อ เมื่อถึงคราวจำเป็นก็เลือกเฟ้นเอาแต่ทองเท่านั้น ส่วนชาวบ้านธรรมดานั้นอาจแยกไม่ออกว่าอันไหนเป็นแก่น และว่าอันไหนเป็นกระพี้
ถึงจะอย่างไรก็ตามคนมีศาสนายังดีกว่าคน ไม่มีอะไรเลยอย่างน้อยที่สุดเขายังมีที่พึ่งที่ยึดทางใจบ้าง มีความหวังในชีวิต รู้จักบาปบุญคุณโทษประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ การนุ่งผ้าถึงแหมว่าจะขาดอย่างน้อยที่สุดก็ยังกันอายได้ ยังดีกว่าคนเปลือยกายไม่นุ่งผ้าเสียเลย
อนึ่ง คำสอนทางพระพุทธศาสนาของเรา เป็นสัจจะธรรมล้วนเอาของจริงมาเรียนมาสอนกัน ซึ่งเป็นคำสอนทวนกระแส ยากที่ผู้ปฏิบัติจะตามทันในเวลาอันสั้น แต่ครั้งผู้ปฏิบัติลงมือปฏิบัติกันอย่างจริงจังแน่นอนทีเดียวผู้ปฏิบัติจะต้องเห็นผลได้ทันตามเห็น เช่นหลักว่าด้วยความหลุดพ้น จุดมุ่งหมายคือพระนิพพานนั่นเองถึงแม้ว่าผู้ปฏิบัติไม่สามารถจะบรรลุพระนิพพานได้ในขณะนั้นอย่างน้อยที่สุดผู้ปฏิบัติก็ยังสามารถสงบระงับอารมณ์ทุกชั่วคราวได้ธรรมดาว่า ยาขมนั้นย่อมเป็นยาสามารถรักษาโรคให้หายดีกว่ายาหวาน แต่ยาขมทานยากกว่า ในทำนองเดียวกัน ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นของยากเหมือนยาขม จึงยากสำหรับผู้ปฏิบัติจะเห็นผลได้ทันตา ดังนั้นหมอผู้ฉลาดจึงเคลือบน้ำตาลไว้ข้างนอก เพื่อให้ผู้ป่วยทานได้สะดวกและหายโรค
อนึ่ง สำหรับเรื่องวัตถุมงคลของท่านพระครูสาธุธรรมจารี (สา) หรือชาวบ้านนิยมเรียกท่านว่า ญาถ่านสานั้นคณะศิษย์สัมพันธ์วัดมุจลินทารามทั้งฝ่าบรรพชิต และคฤหัสถ์ ได้ออกเหรียญรูปของท่าน ๒ ครั้ง (เราไม่จัดเป็นรุ่น) ครั้งที่ ๑ เป็นรูปนั่งท่าตรงห่มคลุมจีวรปิดไหล่ทั้งสอง ด้านหลังเหรียญบรรจุยันต์ ตีณิสิงเห ลักษณะเหรียญเป็นรูปทรงใบโพธิ์ แฉกบนและล่าง พิมพ์แจกในงานฝังลูกนิมิตวัดเจริญทัศน์ บ้านคำก้อม ตำบลฝางคำครั้งนั้นพิมพ์จำนวน ๔,๐๐๐ รูป มีศิษย์ยานุศิษย์มารับแจกไปจำนวน ๓,๓๐๐ รูป ที่เหลืออีกจำนวน ๗๐๐ รูป คณะกรรมการจัดงานได้มอบให้วัดมุจลินทาราม ตำบลดอนจิก เพื่อนำไปมอบเป็นส่วนสัมมนาคุณแก่ท่านที่มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคทุนทรัพย์สร้างอุโบสถ วัดมุจลินทารามนั้นเองซึ่งพระอุโบสถหลังเก่าที่พระครูสาธุธรรมจารีสร้างไว้คร่ำคร่า ซำรุดทรุดโทรมมาก จมนอยู่ในสภาพใช้การไม่ได้ด้วยเดชะแห่งบารมีของเหรียญรุ่นนี้ พระอุโบสถสามารถสำเร็จเสร็จสิ้นลงภายในเวลา ๕ ปี คือเริ่มสร้างเมื่อปี ๒๕๑๖ ถึง ๒๕๒๐ ก็เสร็จบริบูรณ์ ครั้งที่ ๒ พิมพ์แจกเป็นอนุสรณ์ในงานฝังลูกนิมิตพระอุโบสถวัดมุจลินทาราม ตำบลดอนจิก คณะกรรมการจัดทำเป็นรุ่นพิเศษมีครื่องหมายว่าเหรียญพระครูสาธุธรรมจารีรุ่นพิเศษผจญภัย ท่านั่งขัดสมาธิห่มดองพาดสังฆาฏิ นั่งบริกรรม ส่วนยันต์ด้านหลังเหมือนเดิมแต่เพิ่มคาถามหาเศรษฐีไว้รอบนอกส่วนหนึ่งผู้ออกแบบและให้คำปรึกษาคือพระอาจารย์ทองหล่อ พระวิปัสสนาจารย์ท่านเป็นผู้ควบคลุมติชมด้วยตัวท่านเอง แน่ละข้าพเจ้ายังแน่ใจว่าพระครูสาธุรุ่นพิเศษนี้จะศักดิ์สิทธิ์มาก ถ้าท่านผู้ถือเหรียญปฏิบัติตามคำสั่งของอาจารย์ ๑ ต้องถือศิล ๒ ต้องมีสัจจะความเซื่อตมรง ๓ ต้องมีขันติความอดทนความอดกลั้นสต่ออนิฏฐารมณ์ ๔ สำรวมในกามโดยเด็จขาดนอกจากนั้นก็ขยันประหยัดคบมิตรที่ดี รายจ่ายให้เหมาะกับรายได้มีหวังเป็นมหาเศรษฐีอย่างแน่นอน การถือเหรียญพระครูสาธุธรรมจารี จะอยู่ยงคงกระพัน และบันดาให้เป็นมหาเศรษฐีได้ก็อยู่ตรงที่ปฏิบัติตามคำสอนของอาจารย์นั้นเองเหมือท่านำได้เหรียญแล้วแต่ท่านไม่ปฏิบัติตาม ความศักดิ์สิทธิ์และความขลังจะมีได้ ณ ที่ไหนเหมือนกับท่านนั่งเรือแต่ไม่พายท่านจะถึงฝั่งอยู่ได้หลอกหรือเมื่อท่านป่วยท่านไม่ทายาตามที่หมอจัดให้ท่านจะหายโรคได้อย่างไรความสามัคคีเป็นพลังสร้างชาติคนในชาติจะอยู่สุขได้เพราะสามัคคีชาติใดไรรักสมัคสมาน จะทำการสิ่งใดก็ไรผลแม้นชาติย่อยยับอับจน เราทุกคนจะอยู่สุขได้อย่างไร จำนวนเหรียญที่พิมพ์ในครั้งนี้มีทั้งหมด ๕,๐๐๐ เหรียญ เฉพาะคณะศิษย์สัมพันธ์ที่อยู่ในกรุงเทพ ฯ ก็ทยอยกันมาจองเพื่อนำไปสักการบูชาคณะกรรมการได้จัดทำเหรียญขึ้น เพื่อแจกเป็นของสมนาคุณแก่ท่านผู้บริจาคทุนทรัพย์เพื่อสร้างเมรุเผาศพ ที่วัดมุจลินทาราม เป็นอนุสรณ์แด่พระครูสาธุธรรมจารีสืบต่อไป
อนึ่ง คณะกรรมการจัดงานฝังลูกนิมิตฉลองพระอุโบสถ
วัดมุจลินทารามครั้งนี้ ขออนุโมทนาขอบคุณผู้มีน้ำใจอันเปรี่ยมไปด้วยมหากุศลฝ่ายกรุงเทพ ฯ ได้จัดผ้าป่าสามัคคีไปสมทบด้วย เช่น
คุณสงกรานต์ ดุจดา ประธานกรรมการ
คุณทา เชิดชู รองประธานกรรมการ
คุณวิฑูรย์ ดุจดา รองประธานกรรมการ
คุณบุญมี พูทอง ประธานกรรมการเขตนนทบุรี
คุณพงษ์ศักดิ์ สุภีร์ เลขานุการ
คุณทองอินทร์ พูนทอง ผู้ช่วยเลขานุการ
คุณสมนึก ทองสวัสดิ์ เหรัญญิก
อาจารย์พูนมา พูลทอง กรรมการที่ปรึกษา
นายทองลือ ต้นคำ กรรมการ
นายพิเชษฐ์ จันทะเกษ กรรมการ
นายทองสา พูลทอง กรรมการ
สำหรับคณะกรรมการฝ่ายบ้านดอนจิก ตำบลดอนจิก อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นกรรมการหลักที่สำคัญ ในการจัดงาน ฝังลูกนิมิตฉลองพระอุโบสถครั้งนี้ มี
พระครูสุนทรธรรมวิบูลย์ ประธานกรรมการฝ่ายบรรพชิต
พระมหาคำเอียง มานิโต รองประธาน
พระมหาสมชัย สุทธฺญาโณ รองประธาน
นายเถิง ลาภเย็น ประธานกรรมการฝ่ายคฤหัสถ์
นายจันดี พุ่มจันทร์ รองประธาน
นายสวน สุธรรมวิจิตร รองประธาน
นายคูณ ทองสวัสดิ์ กรรมการ
นายปรีดา ไทยธวัช กรรมการ
นายบุญมี สมเสาร์ กรรมการ
นายวันนา วงศ์ ขันธ์ กรรมการ
นายชื่น ดุจดา กรรมการ
นางแดง บัวใหญ่ กรรมการ
นางกร บัวใหญ่ กรรมการ
นางทอง ดุจดา กรรมการ
นายสงค์ ดุจดา กรรมการ
นายทองสา บัวใหญ่ กรรมการ
นายผา วงศ์วัน กรรมการ
นายพยุงศักดิ์ ธรรมพิทักษ์ เหรัญญิก
นายอ่อน กาจณรัตน์ ผู้ช่วยเหรัญญิก
นายทองคูณ บุญคูณ กรรมการฝ่ายธุรการ
นายกัณหา พวงศรี กรรมการฝ่ายธุรการ
นายคำมี ชัยทอง กรรมการฝ่ายธุรการ
นายพยุงศักดิ์ กรรมการฝ่ายธุรการ
ประวัติพระครูสุนทรธรรมวิบูลย์
๑๑.พระครูสุนธรธรรมวิบูลย์ (ดี) ทำหน้าที่เป็นเจ้าอาวาสแทน
ประวัติท่านโดยย่อ ท่านมีชื่อเดิมว่า ดี สายเนตร, ชาติกาลเกิดวันเสาร์ ที่ ๒๐ มกราคม ๒๔๕๔ ขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๓ ปีกุล บิดาชื่อนายแก้ว มารดาชื่อ นางสีดา สายเนตร
ปัจจุบันเป็นพระครูชั้นโท ที่พระครูสุนทรธรรมวิบูลย์ ตำแหน่งทางราชการคณะสงฆ์ เป็นรองเจ้าคณะอำเภอพิบูลมังสาหาร เป็นพระอุปปัชฌายะ และเป็นเจ้า อาวาสวัดมุจลินทาราม ต.ดอนจิก อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี
ประวัติการศึกษา สอบไล่ได้นักธรรมชั้นตรี – โท – เอก และเปรียญ ๓ ประโยค สำหรับการศึกษา ฝ่ายเปรียญนั้นสอบไล่ได้ที่สำนักเรียนวัดเบญจมบพิตร ดุสิต พระนคร
หน้าที่การงาน เมื่อสอบไล่ได้เปรียญ ๓ ประโยคแล้วท่านพระครูสาธุธรรมจารี พระอาจารย์ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดแจ้งดอนจิกเดิมได้มรณภาพลงซึ่งเป็นไปตามกฎของความเปลี่ยนแปลงแห่งสังขาร ทุกคนจะต้องตาย แต่เราไม่ทราบว่าใครจะก่อนใครเท่านั้น เรื่องนี้ยกให้เป็นเรื่องของบุญและบาปเป็นตัวปรุงแต่งสังขารต่างหาก หรือจะว่าเป็นเรื่องของกรรมก็ได้ในตอนนั้นเจ้าอาวาสว่างลงญาติโยมชาวบ้านขาดที่พึงทางใจเป็นอย่างมากว้าเหว่วังเวงเสมืยนบ้านเมืองหลังจากสงครามสงบฉะนั้น ประกอบด้วยวัดแจ้งดอนจิกนี้เป็นสำนักเรียนปริยัติธรรมที่โด่งดังมาก่อนเมื่อพระคณาจารย์เอกผู้ศิษย์ โยมได้ล้มหายตายเสียไปบรรดานักเรียนทั้งหลาย ก็เตรียมตัวหนีกลับบ้านกลับเมืองกันเป็นทิวแถว ดังนั้นคณะญาติโยมโดยมีกำนันผู้ใหญ่บ้านและคณะบดีผู้มีศีลสัตย์ พร้อมกันไปนิ มนต์ ท่านมาจากวัดจอมสุดาราม (วัดไพรงาม) ต.สามเสน อ.ดุสิต กรุงเทพมหานคร ด้วยความเมตตาสงสาร ญาติโยมในคราวขาดที่พึ่งทางใจจึงรับนิ มนต์ ด้วยความบริสุทธิ์ใจเมื่อท่านมาอยู่วัดแจ้งดอนจิกแล้วก็เริ่มพัฒนาศาสนวัตถุ พัฒนาการศึกษา ทั้งนักธรรมและบาลีด้วยความตั้งอกตั้งใจการพระศาสนาในยุคของท่านจึงเจริญขึ้นตามลำดับ และเปลี่ยนชื่อวัดจากวัดแจ้งดอนจิกมาเป็นมุจลินทาราม พอจะสรุปผลงานของท่านได้ดังนี้
การปกครอง พระสงฆ์ สามเณรเป็นระเบียบเรียบร้อยดีใครได้อย่ในสำนักของท่านมาก่อน จะสวดมนต์คล่องจะเข้าใจเรื่องศีลเรื่องศาสนพิ ธี ได้ดีพอสมควรเมื่อย้ายไปอยู่ต่างวัดต่างถิ่นจะนำหมู่คณะเกี่ยวกับพิธีกรรมได้
การศึกษา ได้เปิดสอนปริยัติธรรม ตั้งแต่นักธรรมชั้นตรี – โท – เอก ตลอดมา จนถึงปี ๒๔๙๙ นิมนต์พระมหาพรหมา ปภสฺสโร ป.ธ.๔ จากวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ มาเป็นครูใหญ่เปิดสอนบาลีไวยากรณ์จนถึงเปรียญ ๓ และเปรียญ ๔ ประโยค มีผู้สอบเปรียญได้ติด ๆ กันเป็นเวลาหลายปี ซึ่งมีนามดังนี้
๑. พระมหาสมชัย สุทฺธญาโณ น.ธ.เอก ป.ธ.๕
๒. พระมหาคำเอียง มานิโต น.ธ.เอก ป.ธ.๕
๓. พระมหาอ้วน พรหมประดิษฐ์ น.ธ.เอก ป.ธ.๔
๔. พระมหาวิเชียร ชาบุตร น.ธ.เอก ป.ธ.๘
๕. พระมหากมล ผลบัว น.ธ.เอก ป.ธ.๕
๖. พระมหาประสิทธิ์ ดวงประภา น.ธ.เอก ป.ธ. ๓
๗. พระมหามานะ ขันธ์อ่อน น.ธ.เอก ป.ธ.๔
๘. พระมหาสนอง อาทโร น.ธ.เอก ป.ธ.๖
๙. พระมหาพงษ์ศักดิ์ สุภีร์ น.ธ.เอก ป.ธ. ๔
๑๐.พระมหาทองลือ ต้นคำ น.ธ.เอก ป.ธ. ๓
๑๑. พระมหาชาลี ทุลฺลโภ น.ธ.เอก ป.ธ. ๓
พระมหาถวิล สุทฺธิโก น.ธ.เอก ป.ธ. ๕
อนึ่ง สำหรับผู้สอบได้นักธรรมชั้นเอกมีจำนวนมาก ผู้หวังความก้าวหน้าในชีวิต ได้ย้ายจากสำนักเรียนเดิม มาอยู่กรุเทพ ฯ ศึกษาทั้งฝ่ายโลกและฝ่ายธรรมควบคู่กันไป โดยพาะเข้าศึกษาอยู่ในมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วัดมหาธาตุ มหาวิทยาลัยสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ก็มีหลายท่าน ซึ่งมีนามดังนี้
๑. พระมหาคำเอียง มานิโต ป.ธ.๕ พ.ม. พธ.บ. M.A.
๒. พระมหาวิเชียร ชาบุตร ป.ธ.๘ พ.ม. M.A.
๓. พระมหามานะ พหุปุญฺโญ ป.ธ. ๔ พก.ศ. พธ.บ.
๔. พระมหาสนอง อาทโร ป.ธ.๖ พก.ศ. พธ.บ.
๕. พระมหาชาลี ทุลฺลโภ ป.ธ.๓ พุทธศาสตร์ปีที่ ๒
สำหรับผู้ที่ได้รับแต่งตั้งดำรงตำแหน่งทางการคณะสงฆ์ คือพระสังฆาธิการโดยตำแหน่งมี ๒ ท่าน คือพระมหาสมชัย สุทฺธญาโณ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะตำบลดอนจิก เมื่อปี ๒๕๒๐ และสามารถสอบผ่านจนได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ ในเขตตำบลดอนจิก ในปี ๒๕๒๓ นับว่าเป็นข่าวที่ควรอนุโมทนายิ่งสำหรับศิษย์สัมพันธ์เรา และพระมหาถวิล สุทฺธิโก ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองเจ้าคณะอำเภอพิบูลมังสาหารรูปที่ ๒ เมื่อปี ๒๕๒๒ และเป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ตาก อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี
การพัฒนา สร้างกุฏิขนาดยาวหนึ่งหลัง รวม ๑๐ ห้อง ๒ ชั้น สามารถจุพระภิกษุสามเณรได้มากกว่า ๓๕ รูป – สร้างศาลาการเปรียญ ๑ หลัง เสาเสริมเหล็ก ถือปูน ๔๐ ต้น พร้อมทั้งต่อระเบียงออกเป็น ๒ หน้ามุข คือด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก สาลาหลังนี้สามารถจุคนได้ประมาณ ๑,๐๐๐ เศษ – สร้างหอระฆังเป็นหลังที่สอง ก่อด้วยอิฐถือปูนตลอด ในงบประมาณ ๖๐,๐๐๐ บาท – สร้างพระอุโบสถ ๑ หลัง กว้างประมาณ ๖ เมตร ยาวประมาณ ๑๒.๕๐ เมตร สิ้นเงิน ๓ แสน ๖ หมื่นบาท
ศาสนสงเคราะห์ เอาใจใส่ต่อญาติโยมด้วยความเมตตาสงเคราะห์ศิษยานุศิษย์ ทั้งด้วยวัตถุธรรมและคติธรรม มีความกตัญญูกตเวทีเป็นอาภรณ์ มีความไม่ผูกโกรธเป็นอาวุธ บางทีท่านดูเหมือนดุแต่ใจท่านดีสมชื่อนั่นแหละชอบการก่อสร้าง ดังนั้นลูกศิษย์ทุกคนตกลงกันว่า หลวงพ่อสร้างกุฏิ โบสถ์ ศาลาการเปรียญ และหอระฆังก็เสร็จแล้ว จึงพากันหาทุนทุนให้ท่านสร้างเมรุต่อไป เพราะกลัวว่าท่านจะเหงา ผลงานที่ดี ก็เหมือนเจดีย์ที่เด่น ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ไว้ว่า
พฤศภผกาศร ทั้งกุญชรและปลดปลง
โททนต์เสน่คง สำคัญหมายในกายมี
ความชั่วและความดี ประดับไว้ในโลกา
ช้างม้าวัวควายเมื่อตายแล้ว เนื้อและกระดูก ยังมีคนต้องการซื้อเพื่อนำไปปรุงเป็นอาหาร หรือทำปุ๋ย หรือทำเป็นเครื่องประดับชนิดต่าง ๆ แต่อนิจจา น็้็ เนื้อและกระดูกของมนุษย์นี่ชิแม้จะยกให้ฟรี ๆ ก็ไม่มีคนเขาต้องการ ถึงจะเป็นถึงนางงามจักรวาลก็เถอะน๊ะ เมื่อตายแล้วก็มีคติเหมือนกันหมดสิ้น มีแต่ความชั่วและความดีของมนุษย์เท่านั้นที่ยังเหลืออยู่ หลังจากมนุษย์ตายจากโลกนี้ไปแล้ว
ศาสนปฎิบัติ
ที่บ้านขามเปี้ย ตำบลขามเปี้ย อำเภอตระการพืชผล จังหวัด อุบลราชธานี พระครูสุนธรธรรมวิบูลย์ได้ศึกษาเล่าเรียนจนได้ประโยค ๔ ได้เป็นเจ้าอาวาสตั้งโรงเรียนสอนนักธรรมต่อมาจนทางราชการจัดให้โรงเรียนแห่งนี้เป็นสถานที่สอบนักธรรมสนามหลวงสำหรับนักธรรมชั้นตรี และนักศึกษาธรรมชั้นตรี จนถึงทุกวันนี้ พระครูสุนทรธรรมวิบูลย์ ได้เลื่อนสมณะศักดิ์เป็นเจ้าคณะตำบลดอนจิกและรองเจ้าคณะอำเภอชั้นเอก จนกระทั้งปี พ.ศ. ๒๕๓๔ ท่านก็มรณภาพ ผลงานของท่านคือได้บูรณะโบสถ์ สร้างศาลาการเปรียญ กว้าง ๑๕ เมตร ยาว ๒๔ เมตร ๑ หลัง สร้างหอระฆัง ๑ หอ กุฏิ ๑ หลัง กำแพงล้อมรอบวัด เมรุเผาศพ เป็นต้น เมื่อท่านมรณภาพลงผู้ที่ทำหน้าที่เจ้าอาวาสต่อมาคือ
ประวัติพระครูสุคนธเขมคุณ (จำปี ฐานวุฒฺโท)
๑๒. พระครูสุคนธเขมคุณ (จำปี ฐานวุฒฺโท) เป็นเจ้าอาวาสแทน ปี ๒๕๓๔
ประวัติท่านโดยย่อ ท่านมีชื่อเดิมว่า จำปี ตราชู, ชาติกาลเกิดวันพฤหัสบดีที่ ๖ พฤษภาคม ๒๔๘๖ ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๖ ปี มะแม บิดาชื่อนายแสน มารดาชื่อ นางแตง ตราชูและได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นเอก ที่พระครูสุคนธเขมคุณ เจ้าคณะตำบลดอนจิกเขต ๑ และเป็นเจ้า อาวาสวัดมุจลินทาราม ต.ดอนจิก อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี
ประวัติการศึกษา ท่านเรียนจบขั้น ป ๔สอบไล่ได้นักธรรมชั้นตรี – โท – เอก
หน้าที่การงาน ท่านสร้างถนนหนทางไว้ไห้ลูกหลานได้ใช้สันจรไปมาสะดวกหลายที และได้พาญาติโยมสร้างวัดแก่งเจริญสุข พร้อมกับพัฒนาวัดมุจลินทารามไปพร้อมๆกัน ท่านได้สร้างโดมแอนกประสงค์วัดมุจลลินทารามที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ท่านได้บูรณะศาลาหลังเก่าโดยการสร้างหลังคาคอบหลังเก่า
การปกครอง พระสงฆ์ สามเณรเป็นระเบียบเรียบร้อยดีใครได้อยู่ในสำนักของท่านมาก่อน จะสวดมนต์คล่องจะเข้าใจเรื่องศีลเรื่องศาสนพิธี ได้ดีพอสมควรเมื่อย้ายไปอยู่ต่างวัดต่างถิ่นจะนำหมู่คณะเกี่ยวกับพิธีกรรมได้
พระครูสุคนธเขมคุณ หรือพระอาจารย์จำปี เป็นคนพื้นเพบ้านดอนจิก เกิดที่บ้าน ดอนจิกในสมัยนี้ท่านได้สืบทอดโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษาสืบต่อมา จนถึงปัจจุบัน มีพระภิกษุสามเณรทั้งสิ้น ๓๐ รูปและอาศัยศาลาการเปรียญ วัดมุจลินทารามเป็นสถานที่เล่าเรียนมีครูอาจารย์ทั้งพระและครูอาจารย์จากโรงเรียนชุมชนบ้านดอนจิก,โรงเรียนบ้านบุ่งคำ และข้าราชการบำนาญทำหน้าที่เป็นนายทะเบียนตลอดทั้งชาวบ้านที่มีวุฒิการศึกษาและมีความรู้ความสามารถมาช่วย วัดวาอารามจะดำรงอยู่ได้ก็เพราะความร่วมมือกันของพุทธศาสนิกชนชาวบ้านญาติโยมให้ความอุปถัมภ์ค้ำชู
บุคลากรในการบริหารและดำเนินการของโรงเรียนพระปริยัติธรรมมุจลินวิทยาแผนกสามัญศึกษา, กรมการศาสนากระทรวงศึกษาธิการ ดังนี้
๑. เจ้าอธิการจำปี ฐานวุฒฺโฑ ผู้จัดการโรงเรียน
๒. พระมหาสุนันท์ วิสุทฺธสีโล ครูใหญ่โรงเรียน
๓. นายทวี ทองสวัสดิ์ ครูผู้สอน
๔.นายทองคูณ บุญคูณ ครูผู้สอน
๕.นายสมัคร พรหมดี ครูผู้สอน
๖. นายมนทิพย์ จานเขื่อง ครูผู้สอน
๗. นายคงศักดิ์ พรมตา ครูผู้สอน
๘. นายกวีศักดิ์ พรหมประดิษฐ์ ครูผู้สอน
๙. นายชัชวาลย์ ศรีวัฒนานนท์ ครูผู้สอน
๑๐. นาย เสริมศักดิ์ เคหารมย์ เจ้าหน้าที่โรงเรียน
พระครูสุคนธเขมคุณ ได้เลื่อนสมณะศักดิ์เป็นเจ้าคณะตำบลดอนจิก เขต ๑ เจ้าอาวาสวัดมุจลินทาราม จนกระทั้งถึงวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ ท่านก็มรณภาพลงผู้ที่ทำหน้าที่เจ้าอาวาสต่อมาคือ
ประวัติพระอธิการบุญมา ปริสุทฺโธ
๑๓. พระอธิการบุญมา ปริสุทฺโธ เป็นรักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดมุจลินทาราม วันที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ ๒๕๕๙ และได้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดมุจลินทารา วันที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๐ และดำรงตำแหน่งจนถึงปัจจุบันนี้
ประวัติโดยย่อ ท่านมีชื่อเดิมว่า บุญมา บุญทรัพย์, ชาติกาลเกิดวันพฤหัสบดีที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๑๓ แรม ๕ ค่ำ เดือน ๘ ปี จอ บิดาชื่อนายคำหม่อน มารดาชื่อ นางคำ บุญทรัพย์ ปัจจุบันเป็นเจ้า อาวาสวัดมุจลินทาราม ต.ดอนจิก อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี
ประวัติการศึกษา เรียนจบขั้น ปริญญาตรี (พธ.บ)ที่มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย สอบไล่ได้นักธรรมชั้นตรี – โท – เอก สำนักเรียนวัดมุจลินทาราม
หน้าที่การงาน ดำรงตำแหน่งเลขานุการเจ้าคณะตำบล ปี ๒๕๔๘ ถึงปี๒๕๕๙
ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดมุจลินทาราม ปี ๒๕๖๐ จนถึงปัจจุบัน
แง่คิดจากผู้พิมพ์พระอาจารย์บุญมา ปริสุทฺโท
เลขานุการเจ้าคณะตำบลดอนจิก เขต ๑
วัดมุจลินทาราม
ข้าพเจ้าผู้พิมพ์ขอแทรกความคิดเห็นไว้ที่นี้ด้วยว่า ความอดทนเป็นสมบัติประจำตัวของผู้นำทุกคน ความจริงใจเป็นสมบัติอันดับสอง การเอาใจเขามาใส่ใจเรา คือให้รู้จักอกเขาอกเราอุปสรรคเป็นฐานสร้างบารมี การทำงานย่อมมีความผิดพลาดเป็นธรรมดา คนที่ไม่เคยผิดพลาดคือคนที่ไม่ทำอะไรเลย ผู้นำที่ดีต้องยอมรับทั้งผิดและชอบด้วย การทำมากกว่าพูดดีกว่าพูดแล้วไม่ทำ
อนึ่ง บุคคลที่อยู่ภายใต้การปกครองนั้นมีอยู่หลายประเภทซึ่งข้าพเจ้าผู้พิมพ์พอจะสรุปให้ท่านผู้อ่านฟังดังนี้
๑. คนดีชอบแก้ไข ธรรมดาว่าคนดีหรือที่เรียกว่าบัณฑิตนั้น ถ้าการงานผิดพลาดขึ้นในคราวนี้ จะต้องหาทางแก้ไขให้ดีขึ้นในคราวต่อไป การทำงานไม่เป็นระเบียบจะต้องทำให้มีระเบียบดีขึ้นสิ่งใดที่เป็นระเบียบแล้วจะจับก็ง่ายหายก็รู้ดูก็งามตา
๒. คนจัญไรชอบแก้ตัว ธรรมดาว่าคนจัญไรนั้น มักจะไม่ยอมรับผิดในสิ่งที่ตนกระทำผิดเสมอ มักจะโยนความผิดของตนให้คนอื่นเรื่อยไป ไม่เคยได้ยินว่าฉันทำเอง บางครั้งก็โทษผี บางทีก็โทษคน เมื่อหาใครรับบาปแทนไม่ได้ ก็โทษต้นไม้หรือโทษดินฟ้าอากาศก็มี
๓. คนชั่วชอบทำลาย คนชั่วก็คือคนมือบอนปากบอน เห็นของที่คนอื่นทำไว้ต้องทำลายทิ้งหมด คนชั่วคิดแต่เรื่องชั่วและทำแต่ความชั่ว พยายามทำลายความดีของคนอื่น แล้วก็แกล้งให้คนอื่นชั่วเหมือนกับตน ธรรมดาว่าคนพาล ย่อมพาลไปหาผิดเรื่อยไป นี้คือสันดานของคนพาล
๔. คนมักง่ายชอบทิ้ง คนมักง่ายคือคนไม่รู้จักรักษาความสะอาด กินเสร็จแล้วก็ทิ้ง จับที่นี่ทิ้งที่นั่น โยนกลองเรื่อยไป
๕. คนจริงชอบทำ ธรรมดาว่าคนจริงนั้น ต้องพูดจริงทำจริงพูดแล้วต้องทำมิได้โกหกทั้งตนเองและผู้อื่น มีสัจจะเป็นอาภรณ์ประจำใจ คนพวกนี้เจริญด้วยการทำมาหาเลี้ยงชีพ เพราะมีคนเชื่อถือมีอายุยืนไม่ตายโหง
๖. คนระยำชอบติ คนพวกนี้ทั้งตนเองก็ไม่ชอบทำ และไม่คิดจะทำด้วย แต่เมื่อเห็นคนอื่นเขาทำดี ทำสาธารณประโยชน์ชอบขัดขวาง ชอบติคนอื่นท่าโน้นท่านี้ เห็นเขาทำความดีก็ว่าเขาทำความชั่ว เมื่อตนทำความชั่วก็ให้เหตุผลกับตนเองว่าตนทำความดีเป็นต้น คนประเภทมือไม่พาย แต่เอาตีนราน้ำ
ที่กล่าวมานี้ ถือว่าเป็นธรรมชาติของคนโดยทั่วไป เพราะแต่ละคนไม่เหมือนกัน ซึ่งแตกต่างจากตุ๊กตาที่เขาตั้งโชว์ไว้ตามร้าน ถ้าผู้ปั้นตุ๊กตาต้องการจะได้ขนาดเท่ากันให้ยิ้มเหมือนกันก็ย่อมทำได้ไม่ยากส่วนการปั้นคนให้เป็นคนนั้นยากนักนักปาชญ์ยอมรับว่าไม่มีตำราใดที่จะสอนคนให้ดีสมบูรณ์ได้ ถึงพระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ว่า “มนุษย์นี้รกชัฏ” เพราะพระองค์ทรงเทียบคนกับป่าไม้ ธรรมดาว่าป่าไม้มันรก แต่คนนั้นยิ่งรกกว่าป่าไม้เสียอีกการรกของป่าไม้นั้น แผล้วได้ถางได้ ส่วนคนรกนั้นต้องใช้เวลาทำความสะอาดขัดสี วัชพืชของต้นไม้คือหญ้าคา และหญ้าคมบาง ส่วนวัชพืชของคนคือมานะ ทิฐิ คือความสำคัญตนเอง เช่น สำคัญว่าตนดีกว่าคนอื่น โดยชาติตระกูลความรู้ทรัพย์สมบัติ และความงอกความงามเป็นต้น ความดื้อรั้นไม่ยอมลงรอยใคร ไม่โค้งศีรษะให้ใคร พระพุทธองค์เปรียบให้ฟังว่าเหมือนกับต้นไผ่ ต้นไผ่จะตายก็ตายเพราะขลุยของมัน ส่วนคนนั้นจะตายเพราะมานะทิฏฐิของตนนั้นเอง
จะอย่างไรก็ตาม ผู้คนจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับอุปนิสัยของแต่ละคนอีกด้วย ต้องศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของคนให้เข้าใจเสียก่อน แล้วจึงค่อยลงมือปกครองตามขั้นตอน แล้วท่านจะประสบความสำเร็จเอง เหมือนกับหมอจะทำการรักษาโรคจะต้องตรวจดูให้รู้จักสมุฏฐานของโรคให้แน่นอนก่อนแล้วค่อยให้ยารักษาผู้ป่วยจึงจะหายโรค คนที่เราปกครองนั้นมีอยู่ ๕ ประเภท
๑.ผู้เหมือนดอกบัวพ้นน้ำแล้ว คอยแต่แสงอาทิตย์ คือผู้แนะนำหนทางให้เท่านั้น
๒.ผู้เหมือนดอกบัวอยู่ในระดับน้ำ ผู้สอนจะต้องอธิบายชี้แจงพอสมควรจึงจะเข้าใจ
๓. ผู้เหมือนดอกบัวพ้นเปลือกตมแล้ว จะต้องอาศัยกาลเวลานานวันจึงจะพ้นขึ้นมาบานได้ ผู้สอนจะต้องอาศัยความอดทน ใจเย็นใช้เวลาขยับบทนั้นนิด ใช้ทฤษฎีนี้หน่อย มั่นชักให้ยาว ๆ หมั่นสาวให้บ่อย ๆ จะดีขึ้นเอง และเก่งขึ้นเอง
๔. ผู้เหมือนดอกบัวอยู่ใต้เปลือกตมไม่มีโอกาสจะโผล่ขึ้นมาเหนือเปลือกตมหรือเหนือน้ำได้ คนประเภทนี้จัด อยู่ในประเภททะปรมะสอนไม่ได้ ถ้าจะเทียบกับผู้ป่วยก็อยู่ในขั้นเยียวยาพยาบาลไม่ได้ ผู้รักษาพยาบาลคอยดูแต่อาการของผู้ป่วยว่าเมื่อไรจะตายเท่านั้น พระพุทธเจ้าเองก็ให้เว้นคนประเภทนี้ถึงหมอจะมีผีมือดีสักเท่าไรก็ไม่สามารถจะเยียวยาให้หายได้ถึงจะอย่างไรก็ตามผู้นำจะต้องรู้จักใช้คนตามความสามารถและความถนัดตามธรรมชาติของแต่ละคนด้วย ให้คิดอยู่เสมอว่าแต่ละคนย่อมมีความดีไปคนละอย่างเดินทางต้องเห็นใจม้า เป็นนักการค้าต้องเห็นใจคน ทางตั้งหลายพันโยชน์จะบังคับม้าให้ถึงวันเดียวได้ที่ไหน ท่านอาจจะทำได้แต่ม้าท่านจะต้องตายแทนที่จะเสียแต่เวลาเท่านั้นแต่ม้าของท่านต้องตายอีกด้วยท่านต้องตายอีกด้วยเป็นพ่อค้าจะต้องรู้จักความต้องการของตลาด รู้จักความต้องการของผู้ชื้อ สินค้าชนิดใดบ้างที่คนต้องการผู้ขายจะต้องจัดหาสินค้าสิ่งนั้นมาเสนอผู้ชื้อ เช่น จะเอาเนื้อหมูไปขายให้คนจีนนั้นพอจะมีกำไรบ้าง แต่ถ้าเอาเนื้อหมูไปขายให้แขกนั้น อี่ตอนนี้ต้องขาดทุนแน่ พุทธศาสนาสอนให้มองคนในแง่ดีอย่ามองคนในแง่เสียไปหมดถ้าเรามองคนอื่นในแง่เสียท่านผู้มองจะเป็นทุกข์เองเพราะตัวท่านเองก็จะมีอะไรบ้างอย่างเสียเหมือนกัน กับคนผู้ถูกมองเพราะไม่มีใครจะมีความสมบูรณ์ถึงหนึ่งร้อยเปอร์เซ็น จะยกเว้นได้เฉพาะพระอรหันต์ปุถุชนคนสามัญยังมีจิตใจหุ้มห่อด้วย โลภะ โมหะ โทสะ อยู่แน่นอนจะต้องมีความดี และความชั่วอยู่ในตัวอย่าง เช่น คนบางคนอาจพูดไม่เพราะแต่ใจของเขางามคนบางคนอาจใจไม่งามแต่รูปร่างหน้าตาสวย คนบางคนทั้งพูดก็ไม่เพราะทั้งใจก็ไม่งามและรูปร่างก็ขี้เหร่ไม่เอาไหนอีกด้วยแต่เขาก็ขยันขันแข็งมีสัจจะความซื่อตรงต่อเพื่อนฝูงอีก งานรัฐไม่เคยขาดงานราษฎร์ไม่เคยเสียเป็นต้น ดังนั้นผู้มองคนอื่นเป็นจะต้องเอาตา คือเอาปัญญามอง อย่าใช้ตาเนื้อตาหนังมองกันเพราะจะหาความยุติธรรมไม่ได้ แม้แต่ตัวของท่านเองบางครั้งก็ยังไม่ถูกใจของท่าน ลิ้นอยู่ในปากของท่านแท้ ๆ บางครั้ง ท่านยังเผลอกัดมัน ความดีหรือความชั่ว มนุษย์ท่านนั้นมอบให้กัน สัจจะของสังคมเท่านั้นมอบให้สังคมถ้าจะถามว่า ใครถูกที่สุด ใครสวยที่สุด ใครเก่งที่สุด คำตอบที่จะได้ก็คือ “ข้าเอง”
ภาพกิจกรรม
วัดมุจลินทาราม







กิจกรรมบวชเณร
วัดมุจลินทาราม



โรงเรียนพระปริยัติธรรมมุจลินวิทยา
วัดมุจลินทาราม

สำนักงานโรงเรียนพระปริยัติธรรมมุจลินวิทยา
วัดมุจลินทาราม

ศาลาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา
วัดมุจลินทาราม

อาคารเสนาสนะ
วัดมุจลินทาราม




บรรยากาศ
วัดมุจลินทาราม





ซุ้มประตู
วัดมุจลินทาราม



