วัดสำราญ

อาณาเขต

อาคารเสนาสนะ

ประวัติหมู่บ้านสำราญ
ประวัติหมู่บ้านสำราญ หมู่ที่ 7 ต.หัวเรือ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี บ้านสำราญ ตั้งขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. 2441 ก่อตั้งในวันอาทิตย์ที่ 15 เดือน พฤษภาคม พุทธศักราช 2441 ตรงกับวัน ข้างแรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๖ ปีจอ สัมฤทธิศก จ.ศ. 1260 , ค.ศ. 1898 , ม.ศ. 1820 , ร.ศ. 117 บ้านสำราญตั้งอยู่ทางทิศเหนือของตำบลหัวเรือ
แต่ก่อนมีชื่อว่าบ้าน ดอนบักเง็ก ตามประวัติที่เล่าขานสืบต่อกันมามีช้างพลายตัวใหญ่เดินพลัดหลงมานอนตายอยู่ที่หนองน้ำ ประกอบกับสภาพบ้านมีดอนจำนวนมาก บางคนจึงเรียกบ้านดอน ต่อมาประมาณปี 2500 มีปลัดชื่อว่า ชู เข้ามาพัฒนาหมู่บ้าน จึงได้เปลี่ยนชื่อบ้านว่า บ้านสำราญ เพราะเห็นว่าประชาชนในหมู่บ้านมีความสุขสำราญ มีหนองน้ำที่อุดมสมบูรณ์ในการทำการเกษตร ปี 2530 ทางการเห็นว่าหนองน้ำนี้สามารถทำเป็นชลประทานสำหรับจ่ายน้ำให้กับหมู่บ้านอื่นใช้ด้วย จึงทำอ่างเก็บน้ำชลประทานหนองช้างใหญ่ขึ้นมาอย่างเป็นรูปแบบ มีคลองจัดส่งน้ำ ต่อมาโครงการพัฒนาต่าง ๆ เริ่มเข้ามา ปี 2535 มีโครงการทำถนนลาดยางเข้ามาในหมู่บ้านเป็นระยะทางกว่า 2 กิโลเมตร ทำให้เกิดความสะดวกสบายมากขึ้น ในการเข้าออก รวมทั้งเส้นทางนี้ใช้ให้หมู่บ้านอื่นสัญจรเป็นทางผ่านเข้าสู่เมือง

ผู้คนในหมู่บ้านมีอาชีพทำนาเป็นหลัก ส่วนอาชีพรองทำสวนพริก ปลูกผัก รับจ้างทั่วไป

สถานที่ตั้ง ห่างจากอำเภอเมืองอุบลราชธานีไปทางทิศเหนือประมาณ 17 กม. การเดินทางเข้าหมู่บ้านใช้
ทางหลวงหมายเลข 121 (ชยางกูล) เลี้ยวเข้าทางทิศตะวันออก
ทิศเหนือ อยู่ติดกับบ้านทุ่งใหญ่ ต.ขี้เหล็ก อ.เมือง จ.อุบลฯ และบ้านนาดี ต.ยางสักฯ อ.ม่วงสามสิบ จ.อุบล
ทิศใต้ อยู่ติดกับบ้านหัวเรือหมู่ที่ 11 และบ้านหัวเรือทอง หมู่ที่ 16
ทิศตะวันออก อยู่ติด อ่างเก็บน้ำชลประทานหนองช้างใหญ่ ต่อเขตบ้านนาดี ต.ยางสัก อ.ม่วงสามสิบ
ทิศตะวันตก อยู่ติดกับบ้านนาไหทอง ต.ขี้เหล็ก อ.เมือง จ.อุบลฯ

ความสัมพันธ์ของคนในหมู่บ้านเป็นแบบพี่น้อง ส่วนใหญ่เกือบ 100 % นับถือศาสนาพุทธ ลักษณะภูมิประเทศ มีสภาพเป็นที่ราบ เนื้อดินมี 3 ลักษณะ คือ ดินทรายปนดินร่วน หรือดินทราย ดินเหนียวดินร่วมปนทราย

ระบบการใช้น้ำในหมู่บ้านแต่ก่อน ระบบในชุมชนจะเป็นระบบบ่อสร้างและน้ำบาดาล ใช้น้ำดื่มจากการรองน้ำฝน เก็บไว้ในโอ่งเก็บไว้กินตลอดปี จนมา พ.ศ. 2545 มีระบบประปาหมู่บ้านเข้ามา โดยใช้น้ำจากหนองช้างใหญ่เป็นหลัก ชาวบ้านจึงหันมาใช้ระบบส่งน้ำแบบประปา ปัจจุบันส่งกระจายเกือบทั่วหมู่บ้าน แต่น้ำในการทำการเกษตรยังใช้น้ำจากบ่อสร้างและน้ำบาดาลอยู่

ระบบสุขภาพของชุมชนสมัยก่อนถ้าไม่เป็นอะไรที่ร้ายแรง ก็พึ่งหมอเป่าในการรักษาไม่ว่าจะเจ็บป่วยอะไรที่ไม่รู้สาเหตุก็จะไปหาหมอเป่า ซึ่งมีอยู่ประจำหมู่บ้าน หรือต่างหมู่บ้านก็มีเพียงค่าคาย เมื่อหายจากการเจ็บป่วยแล้ว เมื่อมีโครงการพัฒนาเข้ามามาก มีระบบคลินิกเข้ามาในหมู่บ้านการรักษาจึงหันมาใช้แผนปัจจุบันมากขึ้น จนปัจจุบัน การรักษาแบบเป่าจะไม่มีเลย กลับกลายเป็นว่าจะไปรักษาแพทย์แผนปัจจุบันก่อน ถ้าไม่หายไม่ทราบสาเหตุจริง ๆ ถึงจะหาหมอเป่า หมอยาพื้นบ้านแพทย์ทางเลือก

ระบบการปกครองผู้นำ รายชื่อผู้ใหญ่บ้าน ตามลำดับดังนี้
๑.ผู้ใหญ่บ้านคนแรกชื่อนายทอก ภิญโญ

๒.ผู้ใหญ่บ้านสิงห์ทอง สุบุญ

๓.ผู้ใหญ่บ้านหนู อยู่สุข

๔.ผู้ใหญ่บ้านกุ สุหงษา

๕.ผู้ใหญ่บ้านบัว ภิญโญ

๖.ผู้ใหญ่บ้านวันทอง สายแวว

๗.ผู้ใหญ่บ้านคำใบ สายแวว

๘.ผู้ใหญ่บ้านไพรศิริ จิตรสิงห์

๙.ผู้ใหญ่บ้านมีชัย สายแวว

๑๐.ผู้ใหญ่บ้านบุญมา อยู่สุข (คนปัจจุบัน)
ข้อมูลปี 2555 บ้านสำราญมีจำนวนครัวเรือน 186 ครัวเรือน มีจำนวนประชากร 816 คน เป็นชาย 418 คน เป็นหญิง 398 คน

ระบบการผลิตแต่ก่อนผลิตเพื่อยังชีพ ทั้งทำนาและเพราะปลูก มาประมาณปี 2540 การปลูกพริกหัวเรือได้กระจายไปทั่วตำบล รวมทั้งชาวบ้านสำราญ ถือว่าเป็นหมู่บ้านแรกหันมาปลูกพริกเพื่อส่งออกจนช่วงนั้นเป็นยุคที่เฟื่องฟูของพริกหัวเรือได้กระจายไปทั่วตำบล รวมทั้งบ้านสำราญถือว่าเป็นหมู่บ้านแรกๆ หันมาปลูกพริกเพื่อส่งออก จนช่วงนั้นเป็นยุคที่เฟื่องฟูของพริกหัวเรือ จนมาได้ประมาณ 6-7 ปี ก็ซาลงเพราะราคาตกต่ำ จนพืชผักสวนครัวเข้ามามีบทบาทสำคัญในประมาณปี 2548 ชาวบ้านหันมาปลูกผักมากันมาก มีพ่อค้าแม่ค้าเข้ามารับซื้อ นำไปขายในตลาด อ.เมือง , อ.วารินฯ และอำเภออื่นใกล้เคียง มักปลูกพืชได้แก่ ผักกาด ผักกะหล่ำ หัวหอม ผักบุ้ง ผักคะน้า เป็นส่วนใหญ่

*** เนื่องจากชาวบ้านส่วนใหญ่นำถือ ศาสนาพุทธ วัดจึงเป็นศูนย์รวมจิตใจ เมื่อประมาณปี 2536 วัดเป็นสถานที่ศึกษาเล่าเรียน เพราะทางการได้มีโครงการสร้างตึกโรงเรียนใหม่จึงต้องใช้วัดเป็นโรงเรียนเกือบ 2 ปี โรงเรียนสร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อปี พ.ศ. 2538 จึงย้ายนักเรียนกลับเข้ามาเรียนตามปกติ วัดจึงเป็นสถานที่รวมจิตใจของคนในหมู่บ้านเป็นที่สังเคราะห์จิตใจของคนและพระสงฆ์ เป็นสถานที่จัดกิจกรรม เช่น การเลือกตั้ง และบุญประเพณีต่าง ๆ ปัจจุบันได้มีการสร้างศาลาวัดขึ้นใหม่ เมื่อปี 2547 ซึ่งยังไม่แล้วเสร็จจึงต้องอาศัยเงินจากผู้ที่มีจิตศรัทธาในการทำบุญ ทั้งผ้าป่า บุญกฐิน หรืองานบุญประเพณีต่าง ๆ ก็จะมีบริจาคทานเพื่อสร้างศาลาวัด สังคมกับหมู่บ้านปัจจุบันจึงเป็นการพัฒนาหมู่บ้านเพื่อให้เป็นสังคมเมืองมากขึ้นผู้คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่เริ่มจะอาศัยเป็นปัจเจกบุคคลมากขึ้น คือ เริ่มอยู่ตัวใครตัวมันมากขึ้นไม่ข้องเกี่ยวกันมาก ส่วนคนรุ่นอายุ 30 ปี ขึ้นไปยังคงรักษาความสัมพันธ์แบบพึ่งพากันเหมือนสมัยก่อนเหมือนในยุคปัจจุบันตามยุคโลกาภิวัตน์ ทุกสิ่งทุกอย่างเชื่อมโยงกันหมด การสื่อสารเทคโนโลยีทันสมัยเข้ามาจำนวนมากตรงตามการพัฒนาที่ทำให้ชนบทกลายเป็นเมืองอย่างเห็นได้ชัดในหมู่บ้านสำราญ