


พระประธานภายในศาลาการเปรียญ



พระพุทธรูปภายในวัด

เริ่มต้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๑ พระอาจารย์บุญมา พระธุดงค์ ได้มาปักกลดอยู่ในป่าช้าสาธารณะ ซึ่งเป็นป่าประดู่หนาแน่น และได้พำนักอยู่นานนับปี
พ.ศ. ๒๕๒๔ ปู่ศุขได้มาบุกเบิกป่าให้เป็นที่พักสงฆ์ โดยมีแม่ใหญ่ผู้ใจบุญถวายไม้เก่าจากบ้านตนเองเพื่อใช้สร้างกุฏิหลังแรก และเริ่มจัดงานบุญเดือน ๔ เป็นครั้งแรก พร้อมทั้งสร้างโรงเรือนยาว ๆ เพื่อให้ผู้มาร่วมบุญได้ใช้หลบแดดหลบฝนขณะฟังธรรม หลวงปู่ศุขเป็นพระภิกษุองค์แรกที่จำพรรษา ณ ที่พักสงฆ์แห่งนี้
พ.ศ. ๒๕๒๖ มีการจัดงานบุญเดือน ๔ อีกครั้ง โดยมีการจ้างคณะหมอลำมาร่วมฉลองตลอดทั้งคืน แต่ฝนตกตลอดทั้งคืน ทำให้ต้องรอจนฝนหยุดตอนเช้าเพื่อชมหมอลำ หมอลำได้ให้คำทำนายว่า “จัดงานครั้งแรก ฝนตกชุ่มฉ่ำ แปลว่าวัดนี้จะมีความเจริญรุ่งเรืองตลอดไป” จากนั้น ประเพณีบุญเดือน ๔ ก็สืบเนื่องต่อมาทุกปี

อุโบสถ (กำลังสร้าง)






ภาพจำลองอุโบสถ

ศาลาการเปรียญ

การตั้งหมู่บ้าน
วันที่ ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๙ ได้จัดตั้งบ้านแสงทอง หมู่ ๘ ตำบลท่าช้าง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี
- ผู้ใหญ่บ้านคนแรก: นายเจริญ สีดาจิตต์
- ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน: นายเที่ยง เหมือนลา และนายทองคำ พันธ์พงค์แข็ง
- กำนันคนแรก: กำนันกิ่ม โหตระไวศยะ
พ.ศ. ๒๕๓๒ ปู่ศุข ผู้บุกเบิก ได้ลาสิกขา จากนั้นไม่กี่ปี ได้เชิญหลวงปู่เชียรเข้ามาจำพรรษาที่พักสงฆ์ศรีประดู่ ท่านได้ร่วมกับชาวบ้านสร้างศาลาการเปรียญหลังใหญ่จนแล้วเสร็จ ก่อนจะย้ายไปจำพรรษาที่บ้านบก อำเภอศรีเมืองใหม่
พ.ศ. ๒๕๓๖ หลวงปู่เชียรได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์
พ.ศ. ๒๕๓๗ หลวงปู่เปลี่ยน ได้มาจำพรรษาที่พักสงฆ์แห่งนี้เป็นเวลา ๓ ปี ก่อนจะย้ายไปจำพรรษาที่วัดอื่น
พ.ศ. ๒๕๔๐ หลวงปู่เสาว์มาจำพรรษา ๑ พรรษา จากนั้นลูกหลานได้นิมนต์กลับไปจำพรรษาที่วัดกุญชร บ้านท่าช้างใหญ่
พ.ศ. ๒๕๔๑ หลวงปู่ยืน ได้บวชและจำพรรษาที่วัดนี้ประมาณ ๕–๖ พรรษา
พ.ศ. ๒๕๔๗ หลวงปู่เปลี่ยนได้กลับมาจำพรรษาที่พักสงฆ์อีกครั้ง และพำนักอยู่จนถึงปัจจุบัน


การจัดซื้อที่ดินและยกฐานะเป็นวัด
วันที่ ๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ ผู้ใหญ่บ้านแสวง บุญเรื่อง ได้ทำสัญญาจะซื้อที่ดิน น.ส. ๓ ก จำนวน ๗ ไร่ ๑ งาน เพื่อสร้างวัดให้สมบูรณ์ โดยมีราคาซื้อขายที่ ๑๕๐,๐๐๐ บาท
วันที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๐ คณะผ้าป่าจากกรุงเทพฯ สุรินทร์ ชลบุรี อุบลฯ และชาวบ้านแสงทอง นำโดยลูกหลานพ่อใหญ่สิม ชาญจิตร พร้อมลูกเขยนายเสาวรัตน์ อินทมาตร, แม่สอน ทองอาจ, สายกิ่ง อำเภอสว่างวีระวงศ์ และ พ.ต.ท. อุดร ฯ ได้ร่วมกันบริจาคเงินเพื่อซื้อที่ดินดังกล่าวจนสำเร็จ
วันที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๐ นางวันดี นาคำ ได้ทำหนังสือสัญญายกที่ดินเพื่อสร้างวัด
วันที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ ที่พักสงฆ์ศรีประดู่ได้ยื่นเรื่องขออนุญาตสร้างวัด
วันที่ ๒๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ นางวันดี นาคำ ได้รับอนุญาตให้สร้างวัด
วันที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ ที่พักสงฆ์วัดศรีประดู่ยื่นขออนุญาตตั้งวัดต่อท่านนายอำเภอสว่างวีระวงศ์
วันที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ ได้รับประกาศตั้งเป็นวัดในพระพุทธศาสนา
วันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๘ วัดศรีประดู่ได้รับการบันทึกให้ที่ดินดังกล่าวเป็นที่ธรณีสงฆ์
วันที่ ๒๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ นางวันดี นาคำ ได้โอนโฉนดที่ดินให้เป็นที่ธรณีสงฆ์
การขออนุญาตสร้างโบสถ์
วันที่ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ ประธานผู้มีจิตศรัทธาได้ยื่นขออนุญาตก่อสร้างโบสถ์ต่อเจ้าอาวาสวัดศรีประดู่
วันที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ เจ้าอาวาสวัดศรีประดู่ได้กราบขออนุญาตสร้างโบสถ์ต่อคณะพระสังฆาธิการ
วันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ ได้มีการรายงานความคืบหน้าการก่อสร้างโบสถ์วัดศรีประดู่ พร้อมทั้งแสดงความขอบคุณต่อนายกเทศมนตรีตำบลบุ่งมะแลง
หอระฆัง

***
เจ้าอาวาสวัดศรีประดู่

อาคารเสนาสนะ

ศาลานาบุญ



กุฏิรับรองพระเถระ
กุฏิเจ้าอาวาส

กุฏิสงฆ์


ซุ้มประตู

ทำพิธีวางศิลาฤกษ์




ถวายรายงานต่อเจ้าคณะจังหวัด มีทั้งภาพถ่ายลายเซ็น

มอบโฉนดที่ดินของวัดศรีประดู่ต่อคณะพระสังฆาธิการ

