
วัดชัยมงคล รหัสวัด ๐๓๕๔๐๑๐๑๐๑๔ ตั้งอยู่ที่บ้านทุ่ง ตำบลในเวียง อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ โทรศัพท์ ๐๘๑ ๘๘๓ ๖๐๒๘ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย พัทธสีมาได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ เขตวิสุงคามสีมา กว้าง ๔๐ เมตร ยาว ๔๔ เมตร
พระประธานภายในอุโบสถ

วัดชัยมงคล ตั้งวัดเมื่อพ.ศ. ๒๔๓๔ วัดชัยมงคลตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของตัวเมือง ห่างจากสี่แยกบ้านทุ่งประมาณ ๔๐ เมตร อยู่ระหว่างถนนช่อแฮกับถนนเหมืองแดงต่อกัน บริเวณวัดเป็นรูปสี่เหลี่ยม พื้นที่ ๔ ไร่ ๑ งาน ๖๒.๓๐ ตารางวา แต่เดิมบริเวณวัดชัยมงคลเป็นที่รกร้างว่างเปล่า มีพฤกษาชาตินานาพันธ์ขึ้นปกคลุมโดยทั่วไป อาทิ ไม้สะแก ไม้ไผ่หลากหลายพันธุ์ ฯ เป็นที่ชุ่มชื้นไปด้วยน้ำ แอ่งน้ำสำหรับเป็นแหล่งอาศัยของโค กระบือ และช้างของชาวบ้าน สมัยเมื่อสร้างวัดใหม่ ๆ ชาวบ้านเรียกกันว่า “วัดชัยมงคลโป่งจ้าง” เพราะบริเวณนี้เป็นดินโป่ง (ดินที่มีรสเค็มและหอม) เป็นธาตุอาหารสำหรับสัตว์โดยเฉพาะช้างชอบกิน

วัดชัยมงคลเป็นวัดใหญ่แห่งหนึ่งในเขตเทศบาลเมืองแพร่ มีศรัทธาอุปถัมภ์กว่า ๔๐๐ ครอบครัว เป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจที่สำคัญเพราะรองรับจำนวนพุทธศาสนิกชนจำนวนมาก ผู้นำในการเข้ามาสร้างครั้งแรกคือท่านพระครูวงศาจารย์ (ทองคำ พุทฺธวํโส) เป็นชาวบ้านสีลอ อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ บุตรของพระยาแขกเมือง นางแว่นแก้ว ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสรูปแรกของวัดพระบาทมิ่งเมือง และเป็นเจ้าคณะจังหวัดแพร่ ได้ชักชวนพระธรรมธรการินตา (บางแห่งว่าพระวินัยธรรม) วัดน้ำคือ (วัดเมธังกราวาส) และศิษยานุศิษย์ทั้งฝ่ายบรรพชิตและคฤหัสถ์ มาทำการจับจองบุกเบิกเมื่อปี ๒๔๓๔ สมัยแรกสร้างให้กำแพงไม้ หลังคามุงหญ้าคา ฝาไม้ขัดแตะ วิหารหลังแรกสร้างตรงหอไตร (หอธรรม) ในปัจจุบัน เมื่อวัดมีสิ่งก่อสร้างพอที่จะให้พระภิกษุสามเณรพำนักอาศัย และประกอบศาสนกิจได้พระครูพุทธวงศาจารย์ จึงแต่งตั้งให้พระธรรมธรการินตาเป็นเจ้าอาวาสรูปแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๒ ทายกทายิกานิยมเรียกท่านว่า “ตุ๊ลุงหลวง” ในระยะแรกแห่งการสร้างวัดนั้น ยังไม่มีประชาชนมาอาศัยมากนัก เมื่อมีคนอาศัยอยู่ย้อยจึงมีประชาชนจากหมู่บ้านต่าง ๆ เช่นชาวหัวข่วง บ้านน้ำคือ บ้านทุ่งต้อม ทยอยกันออกมาจับจองที่อยู่ใกล้วัดมากขึ้น ต่อมาพระธรรมธรการินตา ซึ่งได้ปกครองวัดมาถึงปี ๒๔๕๑ จึงเห็นว่ากุฏิ วิหารและสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ ได้ชำรุดทรุดโทรมลง ประกอบกับกำลังศรัทธาอุปถัมภ์มากพอสมควรแล้ว ท่านจึงได้ชักชวนทายกทายิกาและพระภิกษุสามเณรคิดก่อสร้างขึ้นใหม่ การก่อสร้างครั้งนี้ท่านตั้งใจให้เป็นศาสนวัตถุถาวรมั่นคง เพราะท่านมีความชำนาญด้านช่างอยู่แล้ว จึงเริ่มการก่อสร้างใหม่ทั้งหมด โดยสร้างวิหารก่อนเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๑ การก่อสร้างวิหารหลังที่ ๒ นี้ก่อด้วยอิฐถือปูน เสาไม้ เครื่องบนด้วยไม้ต่าง ๆ หลังคามุงด้วยกระเบื้องไม้สัก (แป้นเกล็ด) ช่อฟ้าใบระกาทำด้วยไม้ทั้งหมด ส่วนอิฐที่ใช้ก่อผนังวิหารและสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ ภายในวัดนั้น ได้อาศัยกำลังพระภิกษุสามเณรและทายกทายิกา ปั้นเอง เผาเอง ทั้งสิ้น โดยไม่มีค่าจ้าง อาศัยกำลังศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง สถานที่สำหรับปั้นอิฐเผาอิฐคราวนั้น คือตรงที่ตั้งโรงเรียนเทศบาลวัดชัยมงคลในปัจจุบัน ส่วนศรัทธาผู้อุปถัมภ์และเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญยิ่งในการสร้าวิหารหลังที่ ๒ นี้ ซึ่งอนุชนทั้งหลายจะลืมไม่ได้เลยคือ พ่อหนานอ่อน เอกภูมิ เดิมท่านเป็นชาวลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ แต่ด้วยเหตุที่พ่อหนานอ่อนมีงานเกี่ยวกับการอุตสาหกรรมไม้เพราะท่านเป็นเจ้าของช้างจำนวนมาก และมีงานทำไม้ลากไม้เป็นงานประจำเมื่อมามีหลักฐานมั่นคงและมีฐานะดีอยู่ใกล้วัดที่กำลังก่อสร้าง ท่านจึงทุ่มตัวเข้าอุปถัมภ์ชนิดที่ว่า “ศรัทธาเก๊า” เลยทีเดียว การก่อสร้างส่วนใหญ่เช่น เสา เครื่องบน ช่อฟ้า ใบระกา ตลอดจนวิจิตรกรรมฝาผนัง เพดาน และอื่น ๆ ก็ได้รับศรัทธาจากพ่อหนานอ่อนทั้งสิ้น ท่านที่เคยเห็นวิหารหลังที่ ๒ คงจำได้ว่ามีชื่อ นายอ่อน เอกภูมิ เป็นผู้สร้าง
การสร้างพระประธานองค์ปัจจุบัน ในระยะที่กำลังก่อสร้างวิหารหลังที่สองอยู่นั้น พระพุทธวงศาจารย์และพระธรรมธรการินตาเจ้าอาวาส ได้ดำเนินการสร้างองค์พระประธานขนาดใหญ่ ๑ องค์ด้วย (ประดิษฐานในพระอุโบสถหลังปัจจุบัน) ก่อด้วยอิฐถือปูน การก่อสร้างทั้งวิหารและองค์พระประธาน ได้สำเร็จลงเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๕ ทำการฉลองสมโภชในปี ๒๔๕๖ ต่อมากุฏิที่พักของพระภิกษุสามเณรหลักแรก ซึ่งสร้างขึ้นอย่างคร่าว ๆ มีหลังคามุงด้วยคา ฝาไม้ไผ่ พื้นกระดานดังกล่าวแล้วแต่ต้นได้ทรุดโทรมลงตามภาวะ พระธรรมธรการินตา เจ้าอาวาสจึงดำเนินการรื้อถอนและสร้างขึ้นใหม่ เป็นกุฏิไม้ชั้นเดียว หลังคามุงด้วยกระเบื้องไม้สักมีห้องนอนกว้างขวางเพียงพอ สามารถบรรจุพระภิกษุสามเณรได้ประมาณ ๓๐ รูป การสร้างกุฏิหลังที่ ๒ นี้ ก็อาศัยการเสียสละทั้งอุปกรณ์การสร้างและแรงงานจากพ่อหนานอ่อน เอกภูมิ เป็นหัวหน้างานฝ่ายฆราวาส พร้อมกับบรรดาลูกศิษย์ และทายกทายิกาเช่นเคย โดยที่ท่านพระธรรมธรการินตาบรรดาวัดไทยพื้นเมืองในยุคเดียวกัน การก่อสร้างได้เสร็จแล้วเมื่อ ๒๔๖๕ และทำการฉลองเมื่อปี ๒๔๖๖ งานก่อสร้างสิ่งต่าง ๆ ในวัดชัยมงคล มิได้หยุดเพียงแค่สร้างสิ่งใดสิ่งหนึ่งสำเร็จลงเท่านั้น คงดำเนินการก่อสร้างสิ่งที่ควรอื่น ๆ ต่อเนื่องกันมิได้ขาด เนื่องจากท่านเจ้าอาวาสรูปแรกเป็นนักสร้างนักพัฒนา ในปี ๒๔๖๘ ท่านจึงสร้างหอไตรปิฎก (หอธรรม) ขึ้นอีกหลังหนึ่ง เฉพาะส่วนที่เป็นตู้พระไตรปิฎก ได้รับการอุปถัมภ์จากพ่อเจ้าเสาร์ แม่เจ้าพลอย วงศ์พระถาง เป็นเจ้าศรัทธาสร้างบริจาคถวาย การสร้างท่านพระธรรมธรการินตาก็ได้แสดงความสามารถในเชิงศิลปะให้เห็น อีกวาระหนึ่ง ซึ่งมีความวิจิตรสวยงามดังที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน และได้สำเร็จลงเมื่อปี ๒๔๗๐ ในช่วงเวลาที่กำลังสร้างหอพระไตรอยู่นั้น ยังได้สร้างกำแพงรอบวัดควบคู่กันมาด้วยซึ่งกำแพงดังกล่าว ก่อด้วยอิฐและเชื่อมด้วยดินเหนียว ความจริงได้สร้างค้างไว้นานแล้ว ตั้งแต่ปี ๒๔๕๗ งานสร้างจึงสำเร็จลงพร้อมกันในปี ๒๔๗๐ และทำการฉลองในปี ๒๔๗๑ พร้อมกับพิธีผูกพัทธสีมาด้วยต่อมาพระธรรมธรการินตา

เจ้าอาวาสรูปที่หนึ่งได้ถึงแก่มรณภาพ เมื่อปี ๒๔๘๔ ทางคณะสงฆ์แต่งตั้งให้พระเป็ง เสนทรัพย์ (ชาวบ้านเรียกว่า “ตุ๊ลุงเปง”) อยู่ในตำแหน่งเจ้าวาสจนถึงปี ๒๔๘๖ ก็มรณภาพ เจ้าอาวาสรูปที่ ๓ คือพระบุญมี สิงห์ทอง (วรจนฺโท) (ปัจจุบันคือพระครูวินัยการโกวิท) เป็นเจ้าอาวาสจนถึงปัจจุบันนี้ ปี ๒๔๙๕ ท่านและคณะกรรมการได้พิจารณาเห็นว่ากุฏิหลังที่ ๒ ชำรุดทรุดโทรมมาก จึงรื้อถอนเมื่อปี ๒๔๙๕ และดำเนินการก่อสร้างกุฏิหลังที่ ๓ ขึ้น ในปี ๒๔๙๖ การสร้ากุฏิหลังที่ ๓ ที่เห็นอยู่ปัจจุบันทางวัดได้รับการบริจาคอุปถัมภ์จากทายกทายิกา และใจบุญทั้งหลาย ช่วยสละทุนทรัพย์สร้างขึ้นด้วยศรัทธาคณะกรรมการจึงให้ช่างดำเนินการสร้างตามแบบแปลนสมัยใหม่ เป็นรูปตึก ๒ ชั้น เสาเทคอนกรีตเสริมเหล็กมุขทั้ง ๒ และผนังชั้นล่าง ก่อด้วยอิฐถือปูน พื้น ฝา และเพดาน ทำด้วยไม้สัก หลังคามุงด้วยกระเบื้องซีเมนต์ การก่อสร้างสำเร็จลงในปี ๒๔๙๙ และได้ทำการฉลองเพื่อถวายไว้เป็นสมบัติในพระพุทธศาสนา เมื่อวันที่ ๘ – ๑๑ เมษายน ๒๕๐๐ ต่อมาในราวปี ๒๕๐๓ พระครูวินัยการโกวิท เจ้าอาวาส ได้ชักชวนศรัทธาประชาชนทั้งพี่น้องชาวไทยและจีน ร่วมกันสร้างศาลาการเปรียญขึ้นอีกหลังหนึ่งมีลักษณะทรงไทยชั้นเดียวสิ้นเงินสิ้นค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง ๑๗๐,๐๐๐ บาท และสร้างสำเร็จลงเมื่อปี ๒๕๐๓ โดยที่วัดชัยมงคลตั้งอยู่ในถิ่นชุมชนหนาแน่น วัดจึงเป็นสถานสงเคราะห์ให้บริการแบบกุศลสาธารณะ แก่ประชาชนเพื่อใช้งานต่าง ๆ มิได้ขาดจึงปรากฏว่าบางครั้ง สถานที่สำหรับประกอบกุศลไม่เพียงพอแก่ความต้องการของประชาชน ผู้มาขอใช้บริการกังนั้น พ่อฮ่วน แม่คำป้อ ทุ่งสี่ พร้อมด้วยลูกหลาน จึงได้สร้างศาลาหน้าอุโบสถขึ้นอีกหลังหนึ่ง แบบชั้นเดียวธรรมดาถวายไว้เป็นสมบัติในพระพุทธศาสนา เมื่อวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๑๔ ต่อมาทางเทศบาลเมืองแพร่ในสมัยนายนิคม พุ่มนิคม เป็นนายกเทศมนตรี ร่วมกับสมาชิกสภาเทศบาล คณะครูอาจารย์ของโรงเรียนเทศบาลวัดชัยมงคล มีนายพรหมมา ไหวเคลื่อน เป็นครูใหญ่ได้ขอใช้สถานที่มุมกำแพง หน้าอุโบสถ สร้างอาคาหัตถศึกษาให้กับโรงเรียนเทศบาลวัดชัยมงคล เพื่อให้ครูอาจารย์และนักเรียน ได้ศึกษาและฝึกกิจกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับวิชาหัตถศึกษา เช่นการประดิษฐ์ของใช้ การเย็บปักทักร้อย และการปฏิบัติด้านโภชนาการ เป็นต้น ขั้นแรกทางเทศบาลและโรงเรียนมีโครงการสร้างเป็นแบบอาคารชั้นเดียว แต่ทางวัดเห็นว่าควรสร้างเป็นสองชั้นเพื่อให้ภิกษุสามเณรได้อยู่อาศัยชั้นบนได้ด้วย สร้างและเสร็จในปี ๒๕๑๓
ความหลังแห่งการรื้อถอนและการก่อสร้างอุโบสถหลังใหม่ วัดชัยมงคล อุโบสถหลังเก่าอายุ ๖๖ ปีเศษ ทรุดโทรมมากและยังไม่เป็นที่ปลอดภัยแก่ทายกทายิกาผู้มาประกอบพิธีกรรมทางศาสนา กรรมการและคณะศรัทธาเห็นสมควรอย่างยิ่งที่จะรื้อถอนและสร้างหลังใหม่ขึ้นแต่ก็ไม่มีใครเป็นแกนนำและอุทิศตัวเข้าดำเนินการ หลายปีต่อมาครูโหล แบ่งทิศ เคนอุปสมบทอยู่ที่วัดชัยมงคลมาก่อน ประกอบกับท่านเคยเป็นครูใหญ่โรงเรียนเทศบาลวัดชัยมงคล มีศรัทธาจึงนำศรัทธารื้อถอนอุโบสถหลังเก่าในวันที่ ๑๘ พ.ย. ๒๕๑๗ และทำพิธีวางศิลาฤกษ์อุโบสถหลังใหม่วันที่ ๑๙ มิ.ย. ๒๕๑๘ โดยมีพระราชรัตนมุนี รองเจ้าคณะภาค ๖ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายช่างหล่อเสาร์อุโบสถหลุมแรก ปี ๒๕๑๘ ใช้เวลาสร้าง ๗ ปี การก่อสร้างอุโบสถได้สำเร็จและได้ทำการฉลองอุโบสถ ในวันที่ ๘ – ๑๑ เม.ย. ๒๕๒๖
การศึกษา
-มีโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกธรรม เปิดสอนเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๒
-มีโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกบาลี เปิดสอนเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๒
อุโบสถ


อาคารเสนาสนะ
อุโบสถ กว้าง ๑๓ เมตร ยาว ๒๙ เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๘ เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก
ศาลาการเปรียญ กว้าง ๖ เมตร ยาว ๑๘ เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็นอาคารครึ่งตึกครึ่งไม้
กุฏิสงฆ์ จำนวน ๕ หลัง เป็นอาคารครึ่งตึกครึ่งไม้
ศาลาอเนกประสงค์ กว้าง ๑๒ เมตร ยาว ๑๘ เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๘ เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก
ศาลาบำเพ็ญกุศล กว้าง ๘ เมตร ยาว ๑๖ เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๔ เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก
นอกจากนี้มี หอระฆัง ๑ หลัง โรงครัว ๑ หลัง หอกลอง ๑ หลัง และโรงพัสดุ ๑ หลัง
ปูชนียวัตถุมี
- พระประธานประจำอุโบสถ ปางมารวิชัย ขนาดหน้าตัก กว้าง ๒๙ นิ้ว สูง ๕๘ นิ้ว
- พระประธานประจำศาลาการเปรียญ ปางมารวิชัย ขนาดหน้าตัก กว้าง ๑๓๖ นิ้ว สูง ๑๗๕ นิ้ว
พระพุทธรูปภายในเจดีย์


อาณาเขตติดต่อ ที่ดินที่ตั้งวัด มีเนื้อที่ ๔ ไร่ ๑ งาน ๖๒.๓ ตารางวา โฉนดที่ดิน (น.ส. ๔ จ) เลขที่ ๑๗๑๑๓
ทิศเหนือ ถนนเหมืองแดง
ทิศใต้ ที่ธรณีสงฆ์ของวัดชัยมงคล
ทิศตะวันออก ทางสาธารณประโยชน์
ทิศตะวันตก ถนนสาธารณประโยชน์
ที่ธรณีสงฆ์
มีที่ธรณีสงฆ์ จำนวน ๑ แปลง มีเนื้อที่รวม ๑ ไร่ ๑ งาน ๕๘.๙๐ ตารางวา ได้แก่โฉนดเลขที่ ๑๗๐๒๐ มีเนื้อที่ ๑ ไร่ ๑ งาน ๕๘.๙๐ ตารางวา
พระธาตุเจดีย์สะหลี่โป่งจ๊าง


ท้าวเวสสุวรรณ

หอระฆัง

ลำดับเจ้าอาวาสตั้งแต่อดีต – ปัจจุบัน
รูปที่ ๑ พระธรรมธรการินตา ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๔๒ ถึง พ.ศ. ๒๔๘๔
รูปที่ ๒ พระเป็ง จนฺโท ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๔ ถึง พ.ศ. ๒๔๘๖
รูปที่ ๓ พระครูวินัยการโกวิท ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๖ ถึง พ.ศ. ๒๕๒๖
รูปที่ ๔ พระครูศรีมงคลชยาภรณ์ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๗ ถึง พ.ศ. ๒๕๕๙
รูปปัจจุบัน พระครูโฆษิตสังฆพิทักษ์ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๙ ถึง พ.ศ. ปัจจุบัน
พระครูโฆษิตสังฆพิทักษ์ (ทีปธมฺโม)
เจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบลในเวียงเขต๓

ซุ้มประตู

ศาลาปริญญา – ตุลานี


หอธรรม


อาคารเสนาสนะ









