พระธาตุดินเหลือ
วัดทุ่งกวาว
พระประธานภายในอุโบสถ
รูปเหมือนพระราชวิสุทธี
อุโบสถ
ประวัติวัดทุ่งกวาว
วัดทุ่งกวาว เป็นวัดโบราณ เป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่ง ซึ่งเริ่มตั้งเป็นวัดขึ้นเมื่อประมาณ 2330 ผู้ริเริ่มก่อตั้งขึ้น คือกลุ่มชนที่เข้ามาปักหลักทำมาหากิ๋นในเขตพื้นที่ทุ่งกวาว ทุ่งป่าดำ กลุ่มแรก เป็นวัดของคนเมืองเหนือมีชื่อเรียกตามภาษาเมืองเหนือว่า “วัดโต้งกว๋าว” (วัดทุ่งกวาว)

วัดทุ่งกวาว แต่เดิมตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกนับจากสถานที่อันตั้งอยู่ที่ปัจจุบันนี้ไปประมาณ 200 เมตร ตั้งอยู่ที่นั้นประมาณ 30 ปี ตุ๊ปู่วงศ์ หรือเรียกกันว่าครูบาวงศ์ เป็นผู้นำกิ๋น นำตานตลอดมา พอถึง พ.ศ. 2360 ก็ได้ย้ายวัดออกมาตั้งอยู่ในที่อันตั้งอยู่ปัจจุบันพ่อฮ้อยคำมาตย์แม่เลี้ยงคำป้อยกที่ให้ มาตั้งอยู่ได้ 10 ปี ในราว พ.ศ. 2370 ครูบาวงศ์ ก็มรณภาพทางวัดก็ได้ตั้ง ตุ๊ปู่อุตเป็นผู้นำกิ่นนำตานต่อมา ครูบาอุตได้เป็นหลักนำกิ๋นนำตานต่อมาได้อาศัย แม่เลี้ยงคำป้อและแม่เลี้ยงบุญปั๋นลูกสาวช่วยส่งเสริมทำนุบำรุงวัดต่อมาจนได้ 18 ปี ตกอยู่ในราว พ.ศ. 2388ครูบาอุตตะมะ ก็มรณภาพลงอีก ทางวัดได้แต่งตั้งยกพระก๋าวิชัย (โก๋) เป็นเจ้าอาวาส แม่เลี้ยง บุญปั๋น ผู้อุปการะวัดทุ่งกวาว เมื่อหมดบุญแม่เลี้ยงคำป้อไปแล้ว ในฐานะที่ท่านเป็นผู้มีทรัพย์เป็นนายฮ้อยเจ้าจ้าง ท่านจึงทุ่มเท การอุปการะวัดอย่างเต็มที่ได้สร้างวิหารขึ้นใหม่ สร้างครอบหลังเก่าใช้เสาไม้สักถากซ้อมเป็นเหลี่ยม ลงลักปิดทองลวดลายสวยงามดังภาพที่เห็น วิหารมุงด้วยแป้นเกล็ด (กระเบื้องไม้สัก) มีช่อฟ้าใบระกาทำด้วยไม้สักทั้งนั้น เพดานก็ปูด้วยไม้สักแผ่นใหญ่ทำเป็นลวดลายลงลักปิดทองตามภาพ ด้านในวิหารพื้นปูด้วยกระเบื้องซีเมนต์ สร้าง พระประธานองค์ใหญ่หน้าตักกว้าง 79 นิ้ว สร้างด้วยอิฐผสมปูนประดับด้วยแก้วเป็นลวดลาย ส่วนสูงจากหน้าตักถึงสุดโมลี 109 นิ้ว สวยงามมาก ประดิษฐ์ไว้ในวิหาร พระประธานองค์นี้ปัจจุบันก็ยังคงเป็นสมบัติของวัดทุ่งกวาวอยู่แต่ก็ผุพังไปมากแล้ว
สร้างกุฏิ (โฮง) สร้างด้วยเสาไม้สัก ฝาไม้สัก พื้นไม้สักสร้าง 2 หลังมีชานอยู่ระหว่างกลาง มีบันไดขึ้นลงทั้งด้านหน้าและด้านหลัง บันได ด้านหน้าลงตรงประตูด้านข้าง วิหารบันใดด้านตะวันตก ลงตรงประตูวัด ประตูทางตะวันตกดูแล้วเป็นกุฏิใหญ่สวยงามมาก สร้างกำแพงล้อมรอบวัดทั้ง 4 ด้าน มีประตูเข้าวัด 4 ประตู ทั้ง 4 ด้าน วัดทุ่งกวาวจึงใหญ่โตบริบูรณ์และสวยงามในยุคนั้น การก่อสร้างก็นานปีช่างผู้ทำก็ฝีมือประณีต แม่ออกเก๊าสั่งจากต่างประเทศมาทำ ชาวบ้านก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรการใช้จ่ายในการก่อสร้าง แม่เลี้ยงบุญปั๋น ท่านรับภาระทำเองหมด สมบัติของวัด เช่นฆ้อง , กลอง ,ระฆัง , ฉาบ , ฉิ่ง ท่านได้สร้างไว้ในสมัยนั้นพระพุทธรูปทองเหลืององค์หนึ่งหน้าตักกว้าง 27 นิ้ว ครึ่ง ฐานซุกซี กว้าง 47 นิ้ว พระพุทธรูปองค์นี้ แม่เลี้ยงบุญปั๋นผู้เป็นศรัทธาเก๊าท่านได้เอาช้างของท่านไปบรรทุก(ต่าง) เอาที่ปากน้ำโพมา เรื่องนี้ แม่เฒ่าสม วังแสน ได้เล่าให้ผู้เขียน ฟัง “ผู้เขียนสงสัยว่า ทำไม ถึงเอาช้างไปต่างเอาถึงปากน้ำโพโน้นละ แม่เฒ่าสม อธิบายว่าในครั้งนั้นรถไฟยังมีไม่ถึงเมืองแพร่ มีมาถึงแค่ปากน้ำโพเท่านั้น ด้วยเหตุผลอันนี้ แม่เลี้ยงผู้เป็นศรัทธาเก๊าจึงได้เอาช้างของท่านไปบรรทุกเอาที่นั้น พระพุทธรูปองค์นี้ยังเป็นสมบัติของวัดทุ่งกวาวอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ เมื่อบี 2507ได้มีคนเข้าไปขโมยครั้งหนึ่ง แต่เอาออกวิหารไปไม่ได้ เพียงแต่ยกองค์พระออกจากฐานซุกซีพิงฝาผนังไว้เท่านั้น จากนั้นมาทางวัดก็ได้อาราธนาท่านขึ้นไปไว้บนกุฏิ เพราะไม่ไว้ใจพวกหัวขโมย
ครูบากาวิจัย (โก๋) ท่านเป็นสล่า (ช่าง) เป็นผู้ชำนาญในการตีเหล็ก ชำนาญในการจอดเหล็ก (เชื่อมเหล็ก) จึงทำให้เป็นที่โปรดปรานของโยมแม่เลี้ยงผู้อุปฐากวัด กล่าวกันว่า แม้แต่พอเจ้าหลวงก็ชอบชิด สนิทกับครูบา ถึงได้เสด็จมาเยี่ยมเยือนอยู่เสมอ บางครั้งก็ขอความช่วยเหลือในทางเชื่อมโซ่เหล็กด้วย ครูบากาวิชัยกับโยมผู้อุปฐากวัดได้ร่วมกัน พัฒนาสร้างวัดอยู่หลายปีจนวัดสำเร็จเรียบร้อยทุกอย่างแล้ว ก็ตกอยู่ในราว พ.ศ. 2443 แม่เลี้ยงบุญปั้น ผู้อุปรากวัด ก็พิจารณาเห็นว่า การพัฒนาวัดก็เรียบร้อยแล้ว และตัวเองก็แก่ตัวหัวหงอก บอกถึง กาลเวลา อันควรรีบเร่งสร้างเกาะที่พึ่งแล้ว จึงตกลงใจตัดสินใจจะทำการฉลองวัด จึงแจ้งให้ทางวัดทราบแล้วก็เริ่มตระเตรียมการอย่างมโหฬาร ในฐานะที่เจ้าภาพเป็นผู้มีฐานะ มีทรัพย์อยู่ในระดับนายฮ้อย ท่านเชิญเจ้าหลวงเมืองแพร่ มาเป็นประธานในงานฉลองวัดครั้งนั้น กล่าวกั๋นว่า เตรียมงานอยู่ 1 ปีแต่ฉลอง 7 วัน การเตรียมงานฉลองวัด แม่ออกเก๊าท่านได้ให้ช่าง (สล่า) บอกไฟ ให้ทำบอกไฟหลวงเป็นบอกไฟขึ้นขนาดใหญ่ให้ใช้ต้นตาลเป็นกระบอก ตอกอัดด้วยดินเชื้อเพลิง (เฝ่า) ใช้ตำราจ้างลวงขอใช้กระบอก 9 โล่ง ตาดหัว 1 โล่ง ตาดท้าย 1 โล่ง ใช้เฝ่าเจ็ด 1 โล่ง เฝ่าหก 3 โล่ง เฝ่าห้า 4 โล่งเฝ่าสี 1 โล่ง เจ้าตำราบอกว่า บอกไฟหลวงบอกนี้ จักขึ้นงามควันเต้าก้าง คงจักขึ้นสุดสายตำแต่ผู้เขียนพยายามสืบถามหาชื่อเจ้าตำรายังไม่พบ บอกไฟหลวงบอกนั้น ชาวบ้านในสมัยนั้นเล่ากั๋นว่าบอกไฟหมื่น ใช้ดินไฟ (ดินประสิว) ประมาณ 30 กก. เตรียมสร้างบอกไฟหลวงกว่าจะเสร็จเรียบร้อยก็ใช้เวลาถึง 9 เดือนกว่า งานฉลองวัดครั้งนั้น การใช้จ่ายทุกอย่างตลอดถึงการเลี้ยงดูการตกแต่ง แม่ออกเก๊าท่านไม่ให้พวกชาวบ้านได้เดือดร้อน เพียงแต่ว่า ขอแรงไปช่วยกั๋นทำ ช่วยกั๋นกิ๋น ช่วยกั๋นเลี้ยงดูเท่านั้น งานฉลองครั้งนั้น ทางวัดได้จัดโรงครัว(โรงเลี้ยง)โดยตั้งใจ๋จะให้เลี้ยงให้กิ๋นกั๋นอย่างเต็มที่ไม่ให้ได้อาย แม่ออกเก๊าท่านนำเอาทรัพย์ของท่าน กล่าวกั๋นว่าเป็นเหรียญตั้งแต่กึ่งสตางค์, สตางค์,สตางค์ห้า , สตางค์สิบ เอาไปใส่กระทะหลวงตั้งไว้พื้นเก้าหูกวางที่ข้างโรงครัว เพราะว่าสะดวกแก่แม่ครัวจะนำไปใช้จ่ายทำกับข้าวได้อย่างเต็มที่รวดเร็วไม่ต้องไปขอท่าน แต่ขออย่าให้การเลี้ยงดูขาดตกบกพร่อง จำพวกปลาย่าง ปลาแห้ง ฮ้าเกลือ ท่านให้เอาช้างไปต่างมาจากอุตรดิตถ์นำมาก๋องไว้บนสาดเติ้ม ที่ข้างโรงครัวใช้ฮั้วต๋าแสงล้อมทำเป็นประตูปิดเปิดเพื่อกันหมากันแมวเท่านั้นแต่ให้แม่ครัวนำออกมาต้ม มายำ มาแก๋งได้ต๋ามสบาย ถ้าหากมันหมด ให้บอกพวกช้างไปบรรทุกมาอีกไม่ต้องไปรบไปกวนท่านในที่ท่านกำลังทำบุญด้านหลังวิหารก็ให้นำเรือหลวง (เฮือลำใหญ่) มาไว้แล้ว ให้คนไปขนเหล้า ขนสุรามาใส่ไว้จนเต๋มลำเฮือ ล้อมฮั้วต๋าแสง เอากล้องไม้เฮี้ยชุกร่อนจุ่มไว้เพื่อให้พวกนักดื่ม นักกิ๋น ได้ดูด กิ๋นต๋ามชอบใจ๋ ไม่หวงไม่ห้าม กิ๋นเต็มที่ ขออย่างเดียวเมาแล้วอย่าเกะกะเท่านั้น คนเล่าอวดอ้างกั๋นว่าฉลองวัดทุ่งกวาวในครั้งนั้น เป็นการฉลอง ครั้งยิ่งใหญ่ มโหฬารที่สุด ไม่มีที่ไหนจะทำได้ ในสมัยนั้น พ่องานทำบุญฉลอง เสร็จแล้ว วันรุ่งขึ้นพากันแห่บอกไฟหลวงไปจิ (ไปประกอบพิธีจุด) แต่ก่อนจักไปนั้น แม่เลี้ยงผู้เป็นแม่ออกเก๊า ก็หื้อเจ้าตำราบอกไฟ นุ่งผ้าขาวเอาขันข้าวตอกดอกไม้ขาว ธูปเทียนไปอังเจิญกล๋องหลวง (กลองบูชา) ประจำวัดไปร่วมแห่ด้วย คำไปเจิญกล๋องหลวงว่า
“อี่ย่าหน้ามน ผู้มีลูกสามคน หน้ามนเหมือนแม่
ข้าขออังเจิญเจ้ากูไปช่วยแห่บอกไฟหลวง
อันข้าได้เยี๊ยะมาจากป้องกล๋วงเก๊าตาลใหญ่
จักนำไปจิต๋ามไต๋ปร๋าเวณี หื้อเป็นสะหลีจัยโชคกว้าง หื้อต่านตังหลายได้อวดอ้างลือชา จิ่มเต่อ” แล้วก็หามกล๋องหลวงใส่ล้อลากนำขบวนแห่บอกไฟไป
บอกไฟหลวงนั้น พอจิเข้าจริง ๆ แล้ว ทางกรรมการก็ใช้เชือกมนิลาขนาดใหญ่ผูกมัดเก้นติดต้นเกลือใหญ่บนจ๋อมปลวก รอบ ๆ ข้างบอกไฟก็ใช้สวาท (สว่าน) เจาะสีข้าง เป็นรูพรุนไปหมด ทำไมจึงทำอย่างนั้น เรื่องนี้พ่อเฒ่าวังอู้ว่า “เพื่อกั๋นมิให้บอกไฟหลวงขึ้นจริง ๆ เพราะทำเป็นพิธีเท่านั้น อนึ่งในขณะที่สร้างบอกไฟนั้นมีคำเล่าว่าหมอเขาทายไว้ว่า “บอกไฟบอกนี้ถ้ามันขึ้นแล้ว จักกิ๋นเจ้าตำราว่าอั้น” ดังนั้นกรรมการมีความประสงค์ไม่ให้บอกไฟขึ้นไปจริง ๆ จึงหาทางป้องกั้นเอาไว้ก่อน
บอกไฟหลวงนั้น พอจุดสายฉนวนแล้ว แรงพ่นออกมาเสียงดังสั่นสะเทือนจนต้นมะเกลือ นั้นสั่นไหวยวบยาบ ควันที่พ่นออกมากระจายไปเต็มท้องทุ่งมะแคว้งมะเขือ แรงพ่นออกของบอกไฟมีเสียงอันดัง ตรงนี้พ่อเฒ่าวังแกเล่าว่าต้นมะเกลือจนปอสันดังถาบ ๆ เป็นที่น่ากลัวยิ่งนักงานฉลองวัดทุ่งกวาวครั้งนั้น พ่อเจ้าหลวงเมืองแพร่ ได้เสด็จมานั่งหนักเป็นประธานตลอดงานครูบาก๋าวิชัย เป็นเจ้าอาวาส ปกครองวัดมาจนถึง พ.ศ. 2446 ก็ได้มรณภาพลงด้วยโรคบิดเมื่อครูบากำวิชัย (โก) มรณภาพแล้ว ทางวัดก็ได้แต่งตั้งพระอานาเป็นเจ้าอาวาส รับช่วงบริหาร วัดต่อมา ในสมัยครูบาอานาเป็นเจ้าอาวาสนี้ ทางวัดได้พระอภิวงค์ ซึ่งเป็นคนมีเลือดเนื้อเชื้อไขของบ้านทุ่งกวาว มีศักดิ์เป็นลุงของผู้เขียนเพราะท่านเป็นพี่ชายของแม่ของผู้เขียนเรื่องนี้เองพระอภิวงค์พอบวชแล้วเป็นผู้ที่สนใจในการศึกษา ศึกษาเจนจบหลายภาษา แตกฉานในภาษาบาลี
และพระธรรมวินัย เป็นผู้ชำนาญในด้านนวกรรม เป็นช่างออกแบบในการก่อสร้าง ได้ทำการ ก่อสร้างศาสนวัตถุไว้หลายแห่ง หลายจังหวัด ในช่วงนั้นจึงเจริญด้วยการศึกษา แต่เป็นการศึกษาสมัยเก่า มีพระเณรเข้ามาศึกษาโดยพระอภิวงค์ชักนำเข้ามา ดังนั้นสมัยนั้น วัดทุ่งกวาวก็มีพระอาคันตุกะ มาจากต่างถิ่นเช่น อำเภองาว อำเภอลับแล หมู่บ้านน้ำอ่าง เพื่อเข้ามาศึกษากับครูบาอานาโดยอาศัย พระอภิวงค์ เป็นผู้สอน

ในราว พ.ศ. 2460 กระเบื้องไม้สักที่มุงวิหารก็ชำรุดทรุดโทรมลง ฝนรั่วประกอบพิธีกรรม ก็ไม่สะดวก ครูบาอานา พร้อมกับผู้อุปถัมภ์วัดจึงตกลงกั้นบูรณะซ่อมแซมใหม่ให้พระอภิวงค์เป็นช่าง (สล่าเก๊า) ออกแบบ เปลี่ยนเอากระเบื้องไม้สักออก แล้วมุงด้วยกระเบื้องปูนซีเมนต์ช่อฟ้าใบระกา ก็เปลี่ยนเป็นทำด้วยปูนซีเมนต์ทั้งหมด และในช่วงนี้เป็นช่วงที่ทางรัฐบาลกำลังขยายการศึกษาระดับชั้นประถมออกสู่ชนบท ทางจังหวัดแพร่จึงมอบเรื่องนี้ให้คณะสงฆ์นำไปดำเนินการในฐานะที่พระอภิวงค์เป็นผู้สนใจในการศึกษา เจนจบในภาษาไทยใต้ และดำรงตำแหน่งเจ้าคณะแขวง คณะสงฆ์จึงมอบให้พระอภิวงค์ เป็นเจ้าของเรื่องรับเอามาเปิดสอนที่วัดทุ่งกวาวพร้อมทั้งสร้างโรงเรียนขึ้น 1 หลัง ชั้นเดียวมี 3 ห้อง ที่ทำการครู 1 ห้อง เปิดสอนตั้งแต่ชั้น ก.ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 รับนักเรียนใน 3 หมู่บ้านคือ หมู่บ้านทุ่งกวาว หมู่บ้านนาแหลม •หมู่บ้านสวรรคนิเวศ (หมู่บ้านสถาน) ถ้าปีหนมีนักเรียนมากก็อาศัยเรียนตามใต้กุฏิบ้างที่หอกลอง (โฮงกล๋อง) บ้างตั้งชื่อว่า โรงเรียนประชาบาล วัดทุ่งกวาว ดังในภาพ
หอระฆัง/หอกลอง
ทางวัดทุ่งกวาวนั้นเมื่อหมดบุญแม่เลี้ยงบุญปั้นไปแล้วก็ได้อาศัยแม่เลี้ยงบัวเทพผู้เป็นลูกสาว ช่วยอุปถัมภ์ต่อมาจนถึง พ.ศ. 2480 ทางวัดทุ่งกวาวก็ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวัดได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาแล้ว พ่อเลี้ยงส่างนวน แม่เลี้ยงบัวเทพ ก็พิจารณาเห็นว่า การที่จะบำรุง วัดให้เป็นไปด้วยดีนั้น จะต้องอาศัยแรงอาศัยกำลังจากชาวบ้านเข้ามาช่วยอีกแรงหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็มอบให้นายปัน ทองตัน เป็นหัวหน้าเลือกชาวบ้านที่เห็นสมควรเข้ามาช่วยกิจการงานของวัด เรียกว่ากรรมการวัดทุ่งกวาวเพื่อจะได้มาช่วยพัฒนาดูแลวัดอีกแรงหนึ่ง
พอถึงปี 2481 กุฏิไม้สัก 2 หลัง ที่สร้างมาอย่างสวยงาม และนมนานนั้นก็ชำรุดทรุดโทรมลงมากสมควรที่จะรื้อถอนเพื่อสร้างใหม่ พ่อเลี้ยงส่างนวน แม่เลี้ยงบัวเทพ ก็ได้มอบให้คณะกรรมการที่ตั้งไว้ ดำเนินการรื้อกุฏิหลังด้านใต้ลงก่อน แล้วให้ตระเตรียม หาอุปกรณ์ เสา และอื่น ๆ ที่จะสร้างกุฏิใหม่ และในปีเดียวกันนี้ทางวัดก็ได้เตรียมการที่จะผูกพัทธสีมาอีกด้วย คณะกรรมการนำชาวบ้านทำการเตรียมงานอยู่หลายเดือน จึงพร้อมที่จะทำการผูกพัทธสีมาได้ วัดทุ่งกวาว ผูกพัทธสีมา วันพฤหัสบดี ที่ 16 มีนาคม 2481 ในเดือน พฤศจิกายน 2482 ครูบาอานาก็มรณภาพในปี พ.ศ. 2483 ทางวัดทุ่งกวาวก็มีภาระหนักในการเตรียมงานปลงศพครูบาอานาอยู่หลายเดือนแต่เป็นที่น่าสังเกต ควรศึกษาตรงนี้ในช่วงที่จัดงานปลงศพครูบาอานานั้น คณะกรรมการและศรัทธาวัดทุ่งกวาวเหมือนกับว่าได้รับภัยช้ำสอง ในทำนองที่ว่า ผีซ้ำด้ามพลอยหักเพราะว่าในระหว่างที่จัดงานนั้น คณะกรรมการได้อาราธนาศพของครูบาลงนอนบนปราสาท แล้วหนึ่งวัน ยังเหลืออีก 2 วันก็จะถึงวันที่จะชักศพครูบาไปสู่เมรุชั่วคราว ซึ่งได้จัดเตรียมไว้ทางทิศตะวันออกของวัด ออกไปประมาณกิโลเมตรกว่า ๆ วันนั้นเป็นวันที่ 2 ของการจัดงานศพครูบา ประมาณ 17.00 น. กว่า ๆ คณะแม่ครัวแผนกเลี้ยง กำลังยกสำหรับกับข้าว เข้าสู่ประรำพวกโฆษกก็ประกาศให้พวกกรรมการที่มาในงานรับประทานอาหารกันก่อน ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังเป็นลมฝน ขึ้นอย่างรุนแรง จนทำให้ข้าวของสัมภาระในงานปลิวกระจัดกระจายโกลาหลคนแตกตื่นหลบลมหลบฝนกันชุลมุนวุ่นวาย ลมพัดกรรโชกเข้ามาอย่างรุนแรง จนทำให้กระเบื้องหลังคาวิหารปลิว ล่วงลงมาทั้งแถบ จนคนอยู่อาศัยไม่ได้ ปราสาทศพครูบาก็หักสบั้นลง โลงบรรจุศพก็ถูกลมพัดไถล ลื่น ลงมาอยู่ข้างล่าง ทำความยุ่งยากให้กับคณะกรรมการ และศรัทธาเป็นอย่างมาก ฟ้าใหญ่ลมหลวงในครั้งนั้น พวกคนมีอายุคนเฒ่าคนแก่ วิพากวิจารณ์กันว่า ลมใหญ่ลมหลวงอย่างนี้ไม่เคยพบไม่เคยเห็นโชคดีอยู่นิดหนึ่ง เกิดลมฝนอยู่ไม่นานไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ฟ้าฝนก็สงบ
คณะกรรมการต้องระดมปลุกศรัทธาชาวบ้านช่วยกัน เก็บกวาด ตกแต่งสถานที่กันตลอด ทั้งคืน พอรุ่งขึ้นก็หาช่างระดมพวกช่างมาซ่อมปราสาทเป็นการด่วน เพื่อให้ทันกับกำหนดการปลงศพครูบา ตามที่กำหนดกันไว้ เมื่อทางวัดได้ปลงศพครูบาอานาและประกอบพิธีตามประเพณีเรียบร้อยแล้ว ก็พร้อมใจกั้นขอให้ทางคณะสงฆ์ แต่งตั้งพระนวน นนฺโท ขึ้นเป็นเจ้าอาวาสปกครองวัดสืบต่อมา
ในยุคที่พระนวน นนโท เป็นเจ้าอาวาสนี้ทางการคณะสงฆ์ได้เปลี่ยนระบบการศึกษาเป็นการ ศึกษาสมัยใหม่มีการสอบวัดผลเป็นชั้น ๆ น.ธ.ตรี, น.ธ.ชันโท, น.ธ.ชั้นเอก การเรียนบาลี ก็มีตั้งแต่ป.ธ.3 ถึง ป.ธ. 9 เหมือนกันหมดทั้งในส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค สำหรับจังหวัดแพร่นั้นเปิดเรียนสอนกันที่วัดพระบาทมิ่งเมืองวรวิหาร สมัยนั้นทางวัดทุ่งกวาว ก็สอบนักธรรมชั้นเอกได้ ก็หลายรูปสอบได้มหาเปรียญธรรม 1 รูป คือพระมหาอวยเซงสุข ท่านได้ลาสิกขาบทไปเมื่อ พ.ศ. 2489 เข้ารับราชการในแผนกสรรพากร ภายหลังได้เปลี่ยนนามสกุลเป็น ญาณวรพงค์ ขณะที่กำลังเขียนเรื่องนี้ท่านสิ้นบุญไปหลายปีแล้ว ขออภัยต่อดวงวิญญาณของท่านด้วย
เมื่อทางวัดจัดการปลงศพครูบาอานาเสร็จ และดั้งเจ้าอาวาสใหม่แล้ว ก็พักเอาแรงกันอยู่ประมาณครึ่งปี พอหายเหน็ดหายเหนื่อยมีแรงกันมาบ้างแล้ว ก็สืบสานงานที่ทำค้างไว้เมื่อสมัยครูบาอานา เจ้าอาวาสองค์ก่อน คือการสร้างกุฏิใหม่เมื่อประชุมตกลงกั้นแล้ว ก็เริ่มสร้างกุฏิหลังใหม่ทำการก่อสร้างอยู่ 4 ปี ก็สำเร็จเป็นกุฏิหลังใหม่ขึ้น ในปลายปี 2487 ดังที่เห็นภาพแต่ก็ต้องรื้อเอาไม้แป้นพื้นรอบระเบียงกุฏิหลัง
เก่านั้นมาช่วยรื้อเอาเฉพาะแต่แป้นพื้นจึงทำให้กุฏิหลังเก่าคงเหลืออยู่หลังคา เสาหลังคา ระเบียงและพื้นที่ยกขึ้นบางส่วนในภาพ กุฏิหลังเก่านี้ได้ยืนยงให้เห็นให้อาศัยมาจนถึง พ.ศ. 2503 ทางวัดก็ได้ทำการรื้อเหตุที่รื้อนั้นจะได้กล่าวให้ทราบ ต่อไปข้างหน้า
เมื่อ พ.ศ. 2488 ก็ทำการรื้อหลังคาวิหาร เหตุที่ทำการรื้อหลังคาวิหาร ก็เพราะว่าวิหารนี้ได้ทำการเปลี่ยนคามาเมื่อปี พ.ศ. 2460 ครั้งนั้นได้รื้อ และเปลี่ยนเอากระเบื้องไม้ออก นำกระเบื้องปูน ช่อฟ้าใบระกาทำด้วยปูน ขึ้นแทนจึงทำให้เกิดน้ำหนักมาก เสาทรุดลงจนเห็นชัดน่ากลัว ฝาผนัง ก็แตกร้าวทางวัดกับคณะกรรมการจึงร่วมกันรวบรวมปัจจัยแล้วทำการรื้อเอากระเบื้องปูน ช่อฟ้าใบระกาปูนออก ปรับปรุงให้เข้าที่แล้วนำกระเบื้องไม้ ขึ้นมุงแทนส่วนหน้ามุขนั้น เห็นว่าเป็นสภาพ ดีอยู่ไม่รื้อเพียงแต่เพิ่มเสาขึ้นทั้ง 2 ข้าง แล้วขยายหลังคา มุงด้วยสังกะสี ตบแต่งหน้าบันให้เป็นของใหม่ ดังที่เห็นตามภาพ การปฏิสังขรณ์ ซ่อมแซมวิหารครั้งนั้นสำเร็จเมื่อ พ.ศ. 2497 เมื่อการปฏิสังขรณ์ซ่อมแซมวิหารเสร็จแล้ว ทั้งทางวัดและศรัทธาก็ดีอกดีใจทำบุญฉลองกันครั้งหนึ่ง
พอถึง พ.ศ. 2498 ทางวัดทุ่งกวาว ก็สอบมหาเปรียญได้อีก 1 รูป คือมหาปรีชา นันตา ภายหลังได้เข้าไปเรียนต่อที่กรุงเทพศึกษาอยู่จนจบพุทธศาสตรบัณฑิต และได้ลาสิกขาบทไปเมื่อ พ.ศ. 2509 ได้เข้ารับราชการเป็นทหารเรือ ได้ยศเป็นนาวาเอก (พิเศษ) มีตำแหน่ง เป็นผู้อำนวยการกองอนุศาสนาจารย์ กองทัพทหารเรือ ภายหลังได้เปลี่ยนนามสกุล เป็น นันตาภิวัฒน์พอเกษียณอายุราชการแล้วได้กลับมาช่วยเหลือทางวัดเป็นกำลังอันสำคัญของทางวัดอีกแรงหนึ่งพอถึง พ.ศ. 2502 ทางวัดทุ่งกวาว ก็ได้รื้อกุฏิหลังที่เริ่มสร้างใน พ.ศ. 2484 การสร้างกุฏิครั้งนี้ออกแบบเป็นกุฏิสมัยใหม่ สร้างเป็นสองชั้น เสาเป็นคอนกรีตครึ่งไม้ ครึ่งปูน หลังคามุงด้วยกระเบื้องปูน เมื่อสร้างแล้วกำลังปัจจัยไม่พอ ขาดหลายอย่าง จึงได้รื้อกุฏิ (โฮง) หลังเก่าแก่ที่สร้างมาสมัยครูบากำวิชัยโฮงเก่าหลังนี้ได้ยืนยงให้เห็น ให้อาศัยมานานปี รื้อเอาไม้ปูพื้น ไม้เครื่อง และเสา โดยเฉพาะไม้ปูพื้นนั้นเป็นไม้หน้าใหญ่และหนา หาคนมาเลื่อยแยกแผ่นหนึ่งเป็นสองแผ่นแล้วนำเข้าสมทบจนสำเร็จพอเป็นที่อาศัย ของพระภิกษุสามเณรได้ ดังในภาพ ต่อมา พ.ศ. 2505 ทางวัดทุ่งกวาวก็สอบมหาเปรียญได้อีก 1 รูป คือพระมหาก๋วน อคฺคปญโญ พระมหาก๋วนนี้ได้อุทิศตนให้พระศาสนา และกิจการของคณะสงฆ์ ทำนุบำรุงวัดช่วยเหลือเจ้าอาวาส พัฒนาวัดมาจนถึง พ.ศ. 2508 ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดทุ่งกวาว แทนพระนวน นนฺโท ที่ลาลิกขาไป

พระมหาก๋วน อคฺคปญฺโญ เมื่อเป็นเจ้าอาวาสแล้วทำการปกครองดูแลวัด พัฒนาวัดในหลายด้านอาทิ ขยายกำแพง ปรับปรุงบริเวณวัด ซ่อมพระพุทธรูป ต่อเสาวิหาร รื้อศาลาหลังเก่า ซึ่งเป็นศาลาไม้คับแคบผุพัง แล้วสร้างใหม่ เสาคอนกรีต ก่อด้วยอิฐ เป็นศาลาชั้นเดียว มุงสังกะสีกว้าง 10 เมตร ยาว 25 เมตร ดังภาพที่เห็น ทำการก่อสร้างอยู่ 5 ปี ก็สำเร็จพอเป็นที่ทำบุญประกอบศาสนกิจได้ เมื่อทางวัดเห็นว่าศาลาสำเร็จพอที่จะย้ายไปประกอบพิธีต่าง ๆ ได้แล้วจึงพร้อมใจกันรื้อวิหาร เพื่อที่จะปฏิสังขรณ์บูรณะใหม่ ทางวัด ทุ่งกวาวได้เริ่มรื้อวิหาร เมื่อ พ.ศ.2516 เหตุที่พร้อมใจกันรื้อก็เพราะว่าวิหารชำรุดทรุดโทรมลงมาก ฝาผนังก็แตก หลังคาก็รัว ค้างคาวมาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ทุก ๆ วัน มูลค้างคาวปลิวตกลงมาจนมีกลิ่นเหม็น ไม่สะดวกแก่การทำบุญ จึงร่วมใจรื้อเพื่อบูรณะใหม่ดังในภาพ การบูรณะสมัยนั้นทางวัดได้ว่าจ้างสล่าเก้าเป็นผู้ควบคุมดูแลการก่อสร้างส่วนแรงงานนั้นชาวบ้านทั้งหญิงชายเฒ่าแก่มาช่วยกันบูรณะวิหาร โดยไม่คิดค่าเหนื่อยค่าแรง มาช่วยกันบูรณะวิหารเพื่อเอาไว้เป็นที่สักการะบูชาดังที่เห็นอยู่ในภาพศรัทธามาร่วมกันบูรณะวิหารทางวัดเพียงแค่เลี้ยงอาหารกลางวันเท่านั้นทำการปฏิสังขรณ์วิหารอยู่ 4 ปีก็สำเร็จบริบูรณ์ดังในภาพ เมื่อบูรณะวิหารเสร็จเรียบร้อยก็ทำบุญกันตามประเพณีการทำบุญครั้งได้จัดงานพุทธาภิเสกจัดทำเหรียญพระประธานด้วย เมื่อทำบุญฉลองวิหารครั้งนั้นแล้ว พระมหาก๋วน เจ้าอาวาสวัดทุ่งกวาว ก็ได้รับสมณศักดิ์เป็นพระครูปลัดก๋วนพระครูโกศล สมณคุณตามลำดับจากนั้นทางวัดทุ่งกวาวยังได้จัดตั้งทุนมูลนิธิขึ้น เพื่อเก็บดอกผลใช้จ่ายให้กับ กิจการงานของวัด ตั้งชื่อมูลนิธิว่า มูลนิธิโกศลสมณคุณ วัดทุ่งกวาวพอถึง 2534 วัดทุ่งกวาว ก็มีฐานะเป็นวัดเจ้าคณะอำเภอเมืองแพร่ ในฐานะที่วัดเป็นสำนักงานเจ้าคณะอำเภอแล้ว กิจการงานของทางคณะสงฆ์ก็มากขึ้น
พระครูสังฆรักษ์กิตติพัฒน์ สุทฺธิปภาโส (วันมหาใจ)
รักษาการเจ้าอาวาสวัดทุ่งกวาว
พิพิธภัณฑ์ประวัติหลวงปู่ พระราชวิสุทธี
ศาลาการเปรียญ
อาคารรับรอง
ศาลาบำเพ็ญบุญ
อาคารอเนกประสงค์
กุฏิเจ้าอาวาส
กุฏิสงฆ์
ต้นโพธิ์เก่าแก่ภายในวัดทุ่งกวาว
ศาลเจ้าที่วัด
ภาพกิจกรรม